องครักษ์ในพระราชวังต้องห้ามต้องถูกตอนหรือไม่
สมัยโบราณไม่มีผู้ชายอยู่ในในพระราชวังนอกจากจักรพรรดิ ผู้ชายที่เหลือก็ถูกตอนจนกลายเป็นขันที จึงมีผู้สงสัยว่าองครักษ์ผู้รักษาความปลอดภัย มีร่างกายกำยำล่ำสันต้องถูกตอนหรือไม่
สมัยโบราณไม่มีผู้ชายอยู่ในในพระราชวังนอกจากจักรพรรดิ ผู้ชายที่เหลือก็ถูกตอนจนกลายเป็นขันที จึงมีผู้สงสัยว่าองครักษ์ผู้รักษาความปลอดภัย มีร่างกายกำยำล่ำสันต้องถูกตอนหรือไม่
อารยธรรมหย่างเสา (仰韶文化) เป็นอารยธรรมยุคหินใหม่ของผู้คนในแถบตอนกลางของลุ่มแม่น้ำฮวงโห (黃河) ซึ่งอยู่ระหว่างมณฑลกานซู่ (甘肅省) กับมณฑลเหอหนาน (河南省) ในปัจจุบัน อารยธรรมนี้อยู่ในช่วงเวลาราว 5000-3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช แบ่งได้เป็น 3 ช่วงย่อยคือ ช่วงต้น (ราว 5000-4900 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ช่วงกลาง (ราว 4900-3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ช่วงปลาย (ราว 3500-2900 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีเอกลักษณ์คือมีการปั้นเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสี (彩陶)
รู้หรือไม่… ตามท้องเรื่อง ‘หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า’ พระเอกนามว่าหนิวหลาง (牛郎) นั้น ไม่ได้เลี้ยงวัวเพียงอย่างเดียว และตัว ‘牛’ ที่เขาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็กและกลายเป็นเพื่อนคู่ใจของเขาในภายหลังนั้น แท้จริงอาจจะเป็น ‘ควาย’ !
ปกติเราเขียนและอ่านหนังสือจากทางซ้ายไปทางขวา แต่คนจีนในสมัยโบราณจะเขียนและอ่านหนังสือจากขวาไปซ้าย มีเหตุผล 3 ประการ ได้แก่ 1. ลักษณะหนังสือของยุคโบราณ 2. วิธีการเขียนและอ่านหนังสือของคนยุคโบราณ 3. อักษรจีนในยุคแรกเริ่มมีลักษณะเป็นอักษรภาพ ซึ่งไม่ใช่การสะกดคำ
หากพูดถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนอย่างขงจื่อ (孔子) เหลาจื่อ (老子) เมิ่งจื่อ (孟子) หรือแม้แต่สวินจื่อ (荀子) เชื่อว่าคนไทยหลายต่อหลายคนคงได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่มีบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนอีกท่านหนึ่งที่ยังไม่ค่อยปรากฏสู่สายตาคนไทยและยังไม่ค่อยได้รับการพูดถึงเท่าใดนัก นั่นก็คือ ก่วนจ้ง (管仲) หรือก๋วนจื่อ (管子)
‘หลักคุณธรรมค้ำจุนรัฐทั้งสี่’ (国之四维) ได้รับการบันทึกไว้ในบท ‘มู่หมิน’ (牧民) ซึ่งเป็นบทแรกในตำรา ‘ก๋วนจื่อ’ (管子) อันเป็นตำราที่อนุชนได้รวบรวมภูมิปัญญาความคิดของก่วนจ้ง (管仲 มหาเสนาบดีสมัยชุนชิว) เอาไว้ ตำราเล่มนี้มีเนื้อหาครอบคลุมหลากหลายด้าน ทั้งเรื่องการปกครองบ้านเมือง การวางระบบกฎหมาย การจัดระเบียบสังคม และการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสอดแทรกแนวคิดของลัทธิขงจื๊อ (儒家) ลัทธิเต๋า (道家) และลัทธินิติธรรมนิยม (法家) เข้าไว้อีกด้วย
เมื่อกล่าวถึง ‘ขันที’ เรามักนึกถึงชายชาวจีนที่ถูกตอนอวัยวะเพศ และคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ภายในวังหลวงจีนสมัยโบราณ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในประวัติศาสตร์จีนไม่ได้มีเพียงเพียงชายชาวจีนเท่านั้น แต่ยังมีขันทีต่างชาติอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกส่งตัวมาจากแคว้นน้อยใหญ่เสมือนทูตบรรณาการเพื่อแสดงความสวามิภักดิ์และความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรจีนผู้ยิ่งใหญ่
การมีบุตรจำนวนมากเพื่อดำรงไว้ซึ่งวงศ์ตระกูลถือเป็นค่านิยมสำคัญของคนจีนมาแต่โบราณ ทว่าในสมัยก่อนวิทยาการด้านการแพทย์ยังค่อนข้างล้าหลัง อัตราการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากภาวะคลอดยากจึงอยู่ในระดับสูง ทารกหลายคนต้องสิ้นชีวิตลงก่อนลืมตาดูโลก ยิ่งกว่านั้นค่านิยมการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้ร่างกายไม่พร้อมสำหรับการมีบุตร
สนมเจินเฟย (珍妃 ค.ศ. 1876-1900) เกิดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 มีพี่สาวต่างมารดาคือสนมจิ่นเฟย (瑾妃 ค.ศ. 1873-1924) บิดามีนามว่าฉางซวี่ (長敘) เป็นผู้ช่วยประจำกระทรวงพิธีกรรม (禮部) ส่วนมารดาแซ่จ้าว (趙) เมื่อสนมเจินเฟยและสนมจิ่นเฟยมีอายุ 13 และ 15 ปีตามลำดับก็ได้รับการคัดเลือกเข้าวังหลวงมาเป็นนางสนมขั้นผิน (嬪) ครั้นเวลาผ่านไป 5 ปี ทั้งคู่ก็เลื่อนตำแหน่งเป็นพระสนมขั้นเฟย (妃) ในจักรพรรดิกวงซวี่ (光緒帝 ค.ศ. 1871-1908)
แม้คนจีนจะมีความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเป็นข้อห้ามอยู่มาก แต่ก็มีทางแก้ไข ไม่ใช่เชื่องมงายจนถ่วงชีวิตตนเอง ความเชื่อบางเรื่องเป็นกุศโลบายฝึกวินัยในโอกาสอันควร เช่น วันแรกของปีใหม่จีน (1 ค่ำเดือนอ้ายจีน) ที่คนไทยนิยมเรียกว่า วันถือ นั้น ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามทะเลาะเบาะแว้ง ห้ามทำของแตกหัก ก็เพื่อฝึกความสำรวมระวัง เป็นการเริ่มต้นที่ดีในปีใหม่