—–ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงห้าพันกว่าปี โดยมีพัฒนาการในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง การศึกษา เทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่ง ‘ตัวอักษรจีน’ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีวิวัฒนาการมาอย่างช้านานเช่นเดียวกัน โดยสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้ 1. อักษรกระดองเต่า หรืออักษรบนกระดูกสัตว์ (甲骨文) —–อักษรกระดองเต่าเป็นรูปแบบอักษรที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา ตัวอักษรประเภทนี้ใช้ในสมัยปลายราชวงศ์ซาง (商 1,600-1,046 ปีก่อนคริสตศักราช) มีเป้าหมายเพื่อใช้บันทึกและทำนายดวงชะตา ด้วยการสลักอักษรไว้บนกระดูกสัตว์หรือกระดองเต่า —–อักษรกระดองเต่ามีลักษณะคล้ายอักษรภาพ เพียงแค่มองก็รู้ทันทีว่าหมายความว่าอะไร โดยรูปแบบของอักษรชนิดนี้จะเรียวบางและไม่ค่อยโค้งมนตามเครื่องมือที่ใช้แกะสลัก นอกจากนี้อักษรกระดองเต่าแม้จะเก่าแก่แต่ก็เป็นอักษรที่มีความสมมาตรและมีรูปแบบที่แน่ชัด ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสามปัจจัยหลักสำหรับศิลปะการเขียนอักษร ได้แก่ การเขียนอักษร การผสมคำและองค์ประกอบของความเรียง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอักษรในยุคนี้พัฒนาอย่างเป็นระบบแล้ว และเป็นรากฐานในการพัฒนามาสู่รูปแบบของอักษรในปัจจุบัน ตัวอย่างอักษรบนกระดูกสัตว์ 2. อักษรสำริด หรืออักษรโลหะ (金文) —–อักษรสำริดเกิดขึ้นในช่วงกลางยุคราชวงศ์ซาง (商 1,600-1,046 ปีก่อนคริสตศักราช) และเป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์โจว (周 1,046–256 ปีก่อนคริสตศักราช) ในสมัยนั้นมีการใช้เครื่องสำริดกันอย่างแพร่หลาย อักษรประเภทนี้เกิดจากการหลอมหรือสลักตัวอักษรลงบนเครื่องสำริดต่างๆ โดยเฉพาะบนระฆัง (钟) และกระถางสามขา (鼎) เนื้อหาที่บันทึกจะเกี่ยวกับการทำพิธีเซ่นไหว้ ราชโองการ หนังสือรบ หนังสือสัญญา เป็นต้น ซึ่งบันทึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการใช้ชีวิตในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี —–ลักษณะของอักษรสำริดเมื่อเทียบกับอักษรกระดองเต่าแล้ว อักษรสำริดจะมีความหนา ความโค้งมนและจับเป็นกลุ่มก้อนมากกว่าอักษรกระดองเต่า ตัวอย่างอักษรสำริด 3. อักษรเสี่ยวจ้วน (小篆) —–ตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเกิดขึ้นหลังจากจักรพรรดิจิ๋นซี (秦始皇 259–210 ปีก่อนคริสตศักราช) รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้แล้ว จึงออกนโยบายปฏิรูปและวางรากฐานอักษรให้ใช้เหมือนกันทั่วประเทศ โดยเป็นการปรับอักษรต้าจ้วน (大篆) ที่ชาวแคว้นฉินนิยมใช้กันก่อนหน้านี้ให้มีความเรียบง่ายขึ้น จนกลายเป็นอักษรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงเวลานั้น จนถึงช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西汉 202 ปีก่อนคริสตศักราช–ค.ศ. 8) ตัวอักษรเสี่ยวจ้วนถูกอักษรลี่ซู (隶书) ทดแทนในที่สุด —–เมื่อประเทศจีนเริ่มใช้ตัวอักษรแบบเสี่ยวจ้วน ก็มีการกำหนดรูปแบบการเขียนที่เป็นระบบมากกว่าเดิมขึ้นมา ทั้งในด้านเส้นขีด เค้าโครง และรูปแบบโครงสร้างที่แน่นอน รวมถึงลดความเป็นอักษรภาพลง ลักษณะของอักษรเสี่ยวจ้วนจะเป็นอักษรที่มีรูปทรงชัดเจนกว่าอักษรสองแบบข้างต้น โดยจะเป็นทรงยาวและมีความโค้งมนสม่ำเสมอ ตัวอย่างอักษรเสี่ยวจ้วน 4. อักษรลี่ซู หรืออักษรทาส (隶书) —–อักษรลี่ซูเป็นอักษรที่มีวิวัฒนาการมาจากอักษรเสี่ยวจ้วน (小篆) เริ่มใช้สมัยราชวงศ์ฉิน (秦 221-207 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นที่นิยมสูงสุดในสมัยราชวงศ์ฮั่น (汉 202 ปีก่อนคริสตศักราช–ค.ศ. 220) ตำนานเล่าว่าอักษรชนิดนี้ถูกสร้างสรรค์โดยทาสในเรือนจำผู้หนึ่งนามว่า ‘เฉิงเหมี่ยว’ (程邈 ปีเกิดและปีตายไม่แน่ชัด) เขาคิดว่าอักษรเสี่ยวจ้วนเขียนอย่างรวดเร็วไม่ได้ ทำให้เสียเวลาทำงาน จึงคิดอักษรรูปแบบใหม่ขึ้นมาและใช้เฉพาะกับงานในเรือนจำเท่านั้น ต่อมาได้เรียกว่าอักษรนี้ว่า ‘ลี่ซู’ เพราะคำว่า ‘ลี่’ (隶) แปลว่าทาส และถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นจนกระทั่งทดแทนอักษรเสี่ยวจ้วนในที่สุด ทว่าในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (北魏 ค.ศ. 386-534) มีการค้นพบอักษรที่มีความคล้ายกับอักษรลี่ซู ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอักษรประเภทนี้อาจมีขึ้นมาก่อนสมัยราชวงศ์ฉินแล้ว —–ตัวอักษรลี่ซูจะมีลักษณะอ้วนกว้าง เส้นขีดแนวขวางจะยาว เส้นขีดแนวตั้งจะสั้น และเปลี่ยนความโค้งมนของอักษรเสี่ยวจ้วนเป็นรูปทรงเหลี่ยม ตัวอย่างอักษรลี่ซู 5. อักษรข่ายซู หรืออักษรมาตรฐาน / อักษรบรรจง (楷书) —–อักษรข่ายซูค่อยๆ พัฒนาโดยเป็นการย่อแบบมาจากอักษรลี่ซู (隶书) อีกที ซึ่งอักษรรูปแบบนี้มีการพัฒนามาแล้วหลายต่อหลายสมัย ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (汉 202 ปีก่อนคริสตศักราช–ค.ศ. 220) จนถึงราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1636-1912) ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อักษรข่ายซูจะมีลักษณะเป็นทรงตรง เหลี่ยม ตัวอักษรมีความสมดุล เป็นระเบียบบรรจงสวยงาม จึงถือเป็นมาตรฐานในการเขียนอักษรจีนจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างอักษรข่ายซู 6. อักษรเฉ่าซู หรืออักษรหวัด (草书) —–อักษรเฉ่าซูหรืออักษรหวัด คืออักษรที่เขียนด้วยความรวดเร็วและหวัดพบในช่วงราชวงศ์ฮั่น (汉 202 ปีก่อนคริสตศักราช-ค.ศ. 220) โดยพัฒนามาจากการเขียนอักษรลี่ซู (隶书) แบบหวัด ซึ่งในปัจจุบันไม่ว่าอักษรประเภทใด ขอเพียงแค่เขียนหวัดก็สามารถจัดเป็นอักษรเฉ่าซูได้ เนื่องจากเป็นอักษรที่มีการเขียนง่ายแต่อ่านค่อนข้างยาก อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสาร จึงไม่มีการนำมากำหนดให้เป็นรูปแบบอักษรที่ใช้กันทั่วไป ตัวอย่างอักษรเฉ่าซู 7. อักษรสิงซู (行书) —–อักษรสิงซูเป็นอีกหนึ่งรูปแบบอักษรที่พัฒนามาจากอักษรลี่ซู (隶书) เป็นรูปแบบที่อยู่ระหว่างอักษรข่ายซู (楷书) และอักษรเฉ่าซู (草书) โดยจะอ่านได้ง่ายกว่าอักษรเฉ่าซู แต่ก็เขียนออกมาได้รวดเร็วกว่าอักษรข่ายซูเช่นกัน อักษรสิงซูสามารถแบ่งได้สองประเภทตามลักษณะของการเขียน หากเขียนได้บรรจงและประณีตหน่อยจะเรียกว่า ‘สิงข่าย’ (行楷) แต่ถ้าหากเขียนแล้วมีความหวัดมากกว่าจะเรียกว่า ‘สิงเฉ่า’ (行草) ตัวอย่างอักษรสิงซูแบบสิงข่าย (ซ้าย) และแบบสิงเฉ่า (ขวา) วิวัฒนาการของอักษร 鸡 เรื่องโดย หลี่หมิงเสียน ที่มาของภาพ