การค้นพบ ‘เจี๋ยกู่เหวิน’ อักษรจีนยุคแรก เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์ —–‘เจี๋ยกู่เหวิน’ (甲骨文) คืออักษรจีนโบราณชนิดหนึ่งที่จารลงบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ คำว่า ‘เจี่ย’ (甲) มาจาก ‘กุยเจี่ย’ (龜甲) หมายถึง กระดองเต่า และ ‘กู่’ มาจาก ‘โซ่วกู่’ (獸骨) หมายถึง กระดูกสัตว์ นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ‘อักษรจาร’ (契文) ‘อักษรกระดองเต่ากระดูกสัตว์’ (龜甲獸骨文) ‘อักษรทำนายบนกระดองเต่าและกระดูกสัตว์’ (甲骨卜辭) ‘อักษรอินซวี’ (殷墟文字) เป็นต้น ถือเป็นตัวอักษรจีนที่พัฒนาจนมีรูปทรงสมบูรณ์ที่เก่าแก่ที่สุด กระดองเต่าจารอักษร —–ในช่วงเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบกระดูกและกระดองจารอักษรกว่า 154,600 ชิ้น ส่วนใหญ่พบที่มณฑลเหอหนาน (河南省) และมณฑลส่านซี (陝西省) เจี๋ยกู่เหวินเป็นอักษรโบราณตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซาง (商 1600-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) จนถึงสมัยชุนชิว (春秋 770-476 ปีก่อนคริสต์ศักราช) พบตัวอักษรราว 4,500 ตัว สามารถยืนยันได้ราว 2,500 ตัว เนื้อหาที่บันทึกมีหลากหลาย ทั้งเรื่องการเมือง การทหาร ประเพณี วัฒนธรรม สังคม ดาราศาสตร์ ปฏิทิน การแพทย์ ฯลฯ ทว่าโดยมากเป็นบันทึกคำทำนายดวงชะตาหรือพยากรณ์ 馬 虎 豕 犬 鼠 象 豸 龜 爿(床) 為 疾 (บรรทัดบน) ตัวอย่างอักษรเจี๋ยกู่เหวิน (บรรทัดล่าง) อักษรปัจจุบัน —–โดยทั่วไปขนาดของกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ที่บันทึกคำทำนายย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งและอำนาจของบุคคลผู้นั้น กระดองเต่าขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ขุดค้นพบมีความยาว 44 ซม. กว้าง 35 ซม. บริเวณหลังกระดองมีรอยจาร 204 รอย มีอายุอยู่ในช่วงพระเจ้าอู่ติง (武丁 ไม่แน่ชัด-1192 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แห่งราชวงศ์ซาง ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่สถาบันวิจัยแห่งชาติ กระดองเต่าที่มีอักษรมากที่สุดมีมากถึง 404 ตัวอักษร นอกจากนี้กระดูกสะบักของวัวก็มีการแบ่งขนาดเช่นกัน ชิ้นใหญ่ที่สุดเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ เป็นกระดูกสะบักขวาวัว มีความยาว 43.5 ซม. กว้าง 24 ซม. จารตัวอักษร 281 ตัว ทั้งนี้ยังมีการค้นพบกระดูกสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่จารตัวอักษร เช่น กะโหลกมนุษย์ สะบักช้าง กระดูกเสือ กระดูกแรด กะโหลกกวาง ฯลฯ กระดูกสะบักจารอักษร การค้นพบ —–เมื่อมีการค้นพบอักษรเจี๋ยกู่เหวินเป็นครั้งแรกนั้น ไม่มีอะไรที่สามารถยืนยันได้ว่านี่คืออักษรจีนโบราณ แม้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋 ค.ศ. 960-1127) เป็นต้นมาจะมีการค้นพบเครื่องมือสำริดสมัยราชวงศ์ซางในแหล่งโบราณคดีอินซวี (殷墟) เมืองอานหยาง (安陽) มณฑลเหอหนาน มาโดยตลอด อันที่จริงน่าจะมีการค้นพบกระดูกสัตว์หรือกระดองเต่าที่มีการจารอักษรโบราณในแถบนี้ แต่ก็ไม่พบเลยจนกระทั่งปลายสมัยราชวงศ์ชิง เนื่องจากนักประวัติศาสตร์ไม่เคยคิดว่าจะมีอักษรโบราณเก่าแก่เช่นนี้ —–ค.ศ. 1899 หวางอี้หรง (王懿榮 ค.ศ. 1845-1900) ขุนนางและเป็นเจ้าหน้าที่ราชบัณฑิต (翰林院) สมัยจักรพรรดิกวงซวี่ (光緒帝 ค.ศ. 1871-1908) แห่งราชวงศ์ชิงเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย จึงให้คนไปซื้อยาจีนขนานหนึ่งจากร้านขายยาในตลาด หนึ่งในส่วนประกอบของยาขนานนั้นคือ ‘หลงกู่’ (龍骨 ยาจีนทำจากกระดูกฟอสซิลของสัตว์ประเภทวัว กวาง แรด ฯลฯ) หวางอี้หรงพบว่าบนกระดูกมีลายเส้นที่เหมือนอักษรจารเอาไว้ เขาจึงส่งคนเข้าเมืองปักกิ่งไปกว้านซื้อยาหลงกู่มาศึกษาวิจัยแม้ยาขนานนี้จะมีราคาแพงมาก ต่อมาจึงยืนยันได้ว่าลายเส้นดังกล่าวเป็นอักษรแบบหนึ่งที่มีความสมบูรณ์ เขาเปรียบเทียบอักษรแบบนี้กับอักษรจินเหวิน (金文) อักษรต้าจ้วน (大篆) และอักษรเสี่ยวจ้วน (小篆) จนพบว่าอักษรที่จารบนกระดูกนั้นเก่าแก่กว่าอักษรข้างต้นทั้งหมด เขาคาดคะเนว่าน่าจะอยู่ในยุคอินซาง และผู้คนยุคนั้นใช้กระดูกและกระดองเหล่านี้เพื่อทำนาย เมื่อมีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังภายหลังก็พบว่าข้อวินิจฉัยของเขาเป็นจริง อนึ่ง หวางอี้หรงเป็นผู้สนใจศึกษาวิชาถอดความและตัวอักษรแกะสลักโบราณ (金石學 Epigraphy) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว —–ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1900 พันธมิตรแปดชาติ (八國聯軍) รวมพลบุกกรุงปักกิ่ง ซูสีไทเฮานำข้าราชบริพารลี้ภัยออกจากราชธานี เมื่อราชธานีตกอยู่ในอันตราย หวางอี้หรงรู้สึกผิดหวังและเสียใจ จึงตัดสินใจปลิดชีพตนเองขณะอายุ 56 ปี ความช่างสังเกตจนค้นพบอักษรเจี๋ยกู่เหวินเป็นคนแรกทำให้ผู้คนยกย่องหวางอี้หรงเป็น ‘บิดาแห่งเจี๋ยกู่เหวิน’ หวางอี้หรง บิดาแห่งเจี๋ยกู่เหวิน —–เมื่อหวางอี้หรงวายชนม์ หวางฉงเลี่ย (王崇烈 ไม่แน่ชัด-ค.ศ. 1919) ผู้เป็นบุตรชายนำกระดูกจารอักษรที่บิดาเก็บรักษาไว้กว่า 1,500 ชิ้นส่งมอบให้แก่เพื่อนของบิดานามว่า หลิวเอ้อ (劉鶚 ค.ศ. 1857-1909) เพื่อมิให้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาติตกไปอยู่ในเงื้อมมือชาวต่างชาติ หลิวเอ้อผู้เป็นนักการศึกษาและนักประพันธ์นามอุโฆษได้ศึกษาค้นคว้าและแสวงหาเจี๋ยกู่เหวินเพิ่มเติมอย่างจริงจังจนมีไว้ในครอบครองกว่า 5,000 ชิ้น เขาลอกลายกระดูก 1,058 ชิ้น ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ ‘เถี่ยอวิ๋นฉางกุย’ (鐵雲藏龜) เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1903 ถือเป็นการตีพิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับเจี๋ยกู่เหวินเป็นครั้งแรก จากนั้นไม่นานหลิวเอ้อได้ถูกใส่ร้ายจนถูกเนรเทศไปยังซินเจียง (新疆) และเสียชีวิตที่นั่น ต่อมาคนในครอบครัวของหลิวเอ้อตกระกำลำบาก จึงขายกระดูกจารอักษรออกไปบางส่วน บ้างตกไปอยู่ในมือชาวอังกฤษ บ้างตกไปอยู่ในมือชาวญี่ปุ่น —–ข่าวการค้นพบเจี๋ยกู่เหวินแพร่ออกไปในวงกว้าง และสั่นสะเทือนแวดวงวิชาการ ขณะเดียวกันพ่อค้าของโบราณก็ขายกระดูกจารอักษรแบบผูกขาดจนร่ำรวยอยู่ฝ่ายเดียว หลัวเจิ้นอวี้ (羅振玉 ค.ศ. 1866-1940) ซึ่งเป็นญาติของหลิวเอ้อ เคยเห็นกระดูกโบราณที่บ้านหลิวเอ้อ เกิดหลงใหลสนใจอักษรโบราณเหล่านี้ เขาเป็นคนแรกที่พยายามค้นหาว่ากระดูกโบราณเหล่านี้มาจากไหน เนื่องจากพ่อค้าของโบราณไม่ยอมปริปากบอกแหล่งที่มา เพราะไม่ต้องการเสียผลประโยชน์ แหล่งที่มาของเจี๋ยกู่เหวินจึงยังคงเป็นปริศนาจนกระทั่ง ค.ศ. 1908 หลัวเจิ้นอวี้สืบข้อมูลจนทราบว่ากระดูกเหล่านี้จากบริเวณหมู่บ้านเสี่ยวถุน เมืองอานหยาง มณฑลเหอหนาน เขาศึกษาค้นคว้าพร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาสนใจโบราณคดี ต่อมาใน ค.ศ. 1928 หลี่จี้ (李濟 ค.ศ. 1896-1979) นักโบราณคดีแห่งสถาบันวิจัยส่วนกลาง นำทีมไปที่เมืองอานหยางเพื่อขุดค้นทางโบราณคดี ในช่วงเวลากว่า 9 ปี นักโบราณคดีจีนขุดค้นครั้งใหญ่ทั้งหมด 15 ครั้ง พบโบราณวัตถุมากมาย ทั้งเครื่องมือสำริด เครื่องหยก เครื่องปั้นดินเผา รวมทั้งกระดูกจารอักษรกว่า 1.5 แสนชิ้น ภายหลังใน ค.ศ. 1936 มีการค้นพบหลุมกระดูกจารอักษร ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าน่าจะเป็นห้องเอกสารหลวงในยุคอินซาง เมื่อขุดเสร็จก็เคลื่อนย้ายกระดูกทั้งหมดไปเก็บรักษายังนครนานกิง (南京) เมืองหลวงของจีนในขณะนั้น หลุมกระดูกจารอักษร —–ขณะที่ศึกษาอักษรโบราณนั้น ผู้เชี่ยวชาญพบชื่อของฟู่ห่าว (婦好 ไม่แน่ชัด-1200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) จารอยู่บนกระดูกมากกว่า 200 ชิ้น ฟู่ห่าวคือมเหสีของพระเจ้าอู่ติง กษัตริย์ยุคซาง ฟู่ห่าวเป็นคนสะสวย กล้าหาญ เป็นแม่ทัพหญิงที่ออกรบด้วยพระองค์เอง จึงเป็นที่รักและหวงแหนของพระเจ้าอู่ติง พระองค์จึงพยากรณ์ดวงชะตาของฟู่ห่าวอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในเรื่องสุขภาพ การคลอดบุตร ว่าจะมีผลอย่างไร คลอดบุตรได้ปลอดภัยหรือไม่ —–ผู้คนในยุคซางเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กอย่างคลอดบุตรหรือเรื่องใหญ่โตอย่างการทำสงครามก็ต้องทำนายดวงชะตาถามฟ้าทั้งสิ้น ขั้นตอนการทำนายคือจารคำถามลงบนกระดูก 1 ชิ้น จากนั้นพลิกด้านแล้วเผาไฟจนกว่ากระดูกจะแตก หาคำทำนายจากความยาวและทิศทางของรอยแตก จากนั้นก็จารคำทำนายลงบนกระดูก เมื่อได้ผลการทำนายออกมาแล้วก็จารคำอธิบายลงไป เนื้อหาที่จารส่วนใหญ่เป็นคำทำนายดินฟ้าอากาศ และการเก็บเกี่ยวพืชผลที่กษัตริย์ในยุคนั้นต้องการให้ทำนาย อักษรที่บันทึกการทำนายฝน —–จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นพบช่วยให้มนุษย์ในปัจจุบันเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนในราชวงศ์ซาง อักษรโบราณที่จารลงบนกระดูกเหล่านี้ถือเป็นประตูบานแรกที่เผยให้เราเห็นภาพสังคมยุคราชวงศ์ซาง และทำให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของราชวงศ์อันลึกลับผ่านตัวอักษรอายุยาวนานกว่า 3,000 ปี…