—–อารยธรรมหลงซาน (龍山文化) เป็นอารยธรรมในยุคหินใหม่ช่วงปลาย ผู้คนยุคนี้อาศัยอยู่บริเวณตอนกลางและตอนล่างของลุ่มแม่น้ำฮวงโห (黃河) มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีครั้งแรกที่ตำบลหลงซาน (龍山鎮) อำเภอลี่เฉิง (歷城縣) เมืองจี่หนาน (濟南市) มณฑลซานตง (山東省) ปัจจุบันอยู่ในเขตจางชิว (章丘區) เมืองจี่หนาน ช่วงเวลาที่อารยธรรมหลงซานเจริญรุ่งเรืองคือราว 2,500-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในแถบมณฑลเหอหนาน (河南) ซานตง (山東) ซานซี (山西) และส่านซี (陝西) อารยธรรมหลงซานอยู่ในยุคคาบเกี่ยวกับช่วงก่อนและต้นราชวงศ์เซี่ย (夏 2070-1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) —–จุดเด่นของอารยธรรมหลงซานคือ ‘เครื่องปั้นดินเผาดำ’ (黑陶) ที่มีความบาง แข็งแรง ทนทาน และเป็นเงางาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผาดำเปลือกไข่ (蛋殼黑陶) ซึ่งพบที่เมืองยรื่อเจ้า (日照) และจี่หนาน (濟南) ด้วยเหตุนี้อารยธรรมหลงซานจึงมีอีกชื่อว่า ‘อารยธรรมเครื่องปั้นดินเผาดำ’ (黑陶文化) เครื่องปั้นดินเผาดำเปลือกไข่ การค้นพบ —–ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1928 นักโบราณคดีนามว่าอู๋จินติ่ง (吳金鼎 ค.ศ. 1901-1948) ได้ค้นพบแหล่งโบราณคดีเฉิงจื่อหยา (城子崖遺址) ซึ่งอยู่ในยุคอารยธรรมหลงซาน เขาพบชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาสีดำมัน เครื่องมือหิน เครื่องมือที่ทำจากกระดูก ข่าวการค้นพบดึงดูดนักโบราณคดีจำนวนมาก หลี่จี้ (李濟 ค.ศ. 1896-1979) เจ้าของฉายา ‘ผู้บุกเบิกโบราณคดีจีน’ นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาคนแรกของจีนรับหน้าที่ควบคุมการขุดค้นแหล่งโบราณคดีเฉิงจื่อหยาครั้งใหญ่เมื่อ ค.ศ. 1930 อู๋จินติ่ง หลี่จี้ และเหลียงซือหย่ง —–แหล่งโบราณคดีเฉิงจื่อหยากว้างจากเหนือจรดใต้ 530 เมตร จากตะวันออกจรดตะวันตก 430 เมตร มีชั้นดินวัฒนธรรม[1] สูงราว 4-6 เมตร แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นบนพบเครื่องปั้นดินเผาสีเทาและอาวุธในสมัยราชวงศ์ซาง ราชวงศ์โจว และสมัยจ้านกั๋ว (戰國 475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ส่วนชั้นล่างพบเครื่องมือหิน กระดูก เปลือกหอย และเครื่องปั้นดินเผาในช่วงกลางและปลายยุคหินใหม่ ในจำนวนนี้มีเครื่องปั้นดินเผาดำที่โดดเด่นแข็งแรงและบางเหมือนเปลือกไข่ —–เหลียงซือหย่ง (梁思永 1904-1954) นักโบราณคดีจีนอีกคนขุดค้นแหล่งโบราณคดีอินซวี (殷墟遗址) และได้พบความเชื่อมโยงของหมู่บ้านหย่างเสา (仰韶) ตำบลหลงซาน (龍山) และหมู่บ้านเสี่ยวถุน (小屯) ในสมัยราชวงศ์ซาง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่มีการแบ่งแยกอารยธรรมหย่างเสา อารยธรรมหลงซาน และอารยธรรมราชวงศ์ซาง อันเป็นพื้นฐานสำคัญให้นักโบราณคดีศึกษาในเวลาต่อมา แหล่งอารยธรรม —–นับตั้งแต่ค้นพบแหล่งโบราณคดีอารยธรรมหลงซานเป็นต้นมา นักโบราณคดีทยอยค้นพบแหล่งโบราณคดีกระจายอยู่ในแถบมณฑลซานตง มณฑลเหอหนาน มณฑลส่านซี คาบสมุทรซานตง (山東半島) และคาบสมุทรเหลียวตง (遼東半島) แต่เนื่องจากมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน จึงต้องแยกย่อยออกเป็นหลายแหล่งอารยธรรม ซึ่งรวมเรียกว่าอารยธรรมหลงซาน —–นักประวัติศาสตร์จีนตั้งชื่ออารยธรรมตามพื้นที่ที่ขุดค้นพบแหล่งโบราณคดี แหล่งอารยธรรมหลงซานหลักๆ ได้แก่ อารยธรรมหลงซานที่ซานตง (อารยธรรมหลงซานดั้งเดิม) ซึ่งค้นพบเป็นแห่งแรกที่ตำบลหลงซาน เมื่อหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่ามีอายุอยู่ในช่วง 2,500-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช —–อารยธรรมเมี่ยวตี่โกวยุคที่ 2 (廟底溝二期文化)[2] กระจายอยู่ในแถบอวี้ซี (豫西) ซึ่งพัฒนามาจากอารยธรรมหย่างเสา (仰韶文化) อีกทอดหนึ่ง ถือเป็นอารยธรรมหลงซานยุคแรกในพื้นที่จงหยวน[3] (中原) เมื่อหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่ามีอายุอยู่ในช่วง 2,900-2,800 ปีก่อนคริสต์ศักราช —–อารยธรรมหลงซานเหอหนาน (河南龍山文化) กระจายอยู่ในแถบอวี้ซี อวี้เป่ย (豫北) และอวี้ตง (豫東) อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับอารยธรรมเมี่ยวตี่โกวยุคที่ 2 เจริญรุ่งเรืองอยู่ในแถบจงหยวน เมื่อหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่ามีอายุอยู่ในช่วง 2,600-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช —–อารยธรรมหลงซานส่านซี (陝西龍山文化) กระจายอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำจิงเหอ (涇河) และแม่น้ำเว่ยเหอ (渭河) เมื่อหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่ามีอายุอยู่ในช่วง 2,300-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โบราณวัตถุที่ค้นพบ —–เครื่องปั้นดินเผาในยุคอารยธรรมหลงซานแถบจงหยวนช่วงต้นมีสีเทาเป็นหลัก มักทำด้วยมือ เครื่องปั้นดินเผาสีเทาต้องผ่านความร้อนราว 840 องศาเซลเซียส ภาชนะในช่วงต้นส่วนใหญ่เป็นแก้วน้ำ กระถาง กะละมัง ไห ขวด ฯลฯ ซึ่งสืบทอดองค์ประกอบบางส่วนมาจากอารยธรรมหย่างเสา นอกจากนี้ยังมีกะละมังสองหู กะละมังสามหู กะละมังก้นลึก และกระถางทรงกระบอก ลวดลายโดยมากเป็นลายตะกร้าสานที่ติดชิ้นดินเหนียวทับเข้าไปเพื่อเพิ่มความคงทนของชิ้นงาน เครื่องปั้นดินเผาแถบจงหยวนช่วงหลังเริ่มมีสีแดงและสีดำประสม ภาชนะที่พบทั่วไปได้แก่แก้วน้ำ จาน ชาม กะละมัง กระป๋อง ฝาปิดภาชนะ ภาชนะประเภทหม้อ เช่น ติ่ง (鼎) เจิ้ง (甑) เก๋อ (鬲) ฯลฯ ลวดลายที่นิยมได้แก่ลายเชือกและลายตะกร้า ส่วนลายตารางพบไม่มาก หม้อมีขาตั้ง —–เครื่องปั้นดินเผาอารยธรรมหลงซานในมณฑลซานตงพัฒนาไปไกลกว่าแหล่งอื่น เพราะรู้เทคนิคการใช้ฐานหมุนในการผลิตภาชนะ ลักษณะของภาชนะยังเป็นแบบธรรมดาทั่วไป แต่ผลิตได้ในปริมาณมากและมีคุณภาพดี เครื่องปั้นดินเผาในมณฑลซานตงมักมีสีดำ พบสีเทา สีแดง สีเหลือง และสีขาวอยู่บ้าง เครื่องปั้นดินเผาสีดำต้องเผาด้วยความร้อนราว 1,000 องศาเซลเซียส สีแดงราว 950 องศาเซลเซียส สีขาวราว 800-900 องศาเซลเซียส ส่วนผสมของเครื่องปั้นดินเผาสีดำคือโคลนละเอียด โคลน และทราย โคลนละเอียดมีสีดำขลับสะท้อนแสงได้ ซึ่งโดดเด่นที่สุดในอารยธรรมหลงซานมณฑลซานตง สะท้อนให้เห็นมาตรฐานการผลิตเครื่องปั้นดินเผาในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี เครื่องปั้นดินเผาที่พบบ่อยได้แก่ ชาม จาน กระป๋อง โอ่ง แก้วหู แก้วมีขา ติ่ง หม้อมีขาตั้ง ส่วนใหญ่เรียบง่าย มีลวดลายเล็กน้อย โดยมากลวดลายเป็นลายเส้นรอบภาชนะหรือลายฉลุ ถือว่าประณีตงดงามที่สุดในบรรดาเครื่องปั้นดินเผาของอารยธรรมหลงซาน ถ้วยดินเผาดำที่พบในบริเวณแหล่งโบราณคดีเฉิงจื่อหยานั้นบางเพียงครึ่งมิลลิเมตร หนักราว 50 กรัม แม้แต่คนยุคปัจจุบันก็ยากจะผลิตขึ้นมาได้ แก้วมีขา —–นอกจากเครื่องปั้นดินเผาแล้ว อารยธรรมหลงซานยังมีเครื่องมือหิน เครื่องมือจากกระดูก และเครื่องมือจากเปลือกหอยจำนวนมาก ชาวบ้านยุคนี้ทำการเกษตรเป็นหลัก มีการล่าสัตว์ จับปลา และทำปศุสัตว์ อีกทั้งนิยมใช้กระดูกมาทำนายหรือเสี่ยงทายทั่วไป เป็นต้นกำเนิดอารยธรรมของราชวงศ์เซี่ย ซาง และโจว ในยุคต่อมา หยกในอารยธรรมหลงซาน —–หยกที่ขุดพบในยุคอารยธรรมหลงซานมีหลากหลายชนิด ผลิตด้วยเทคนิคขั้นสูง เจียระไนอย่างประณีต จนได้หยกที่งดงามและกลมมน มีทั้งสีเขียว สีขาว สีฟ้า สีเหลือง สีดำ และสีเทอร์ควอยส์ หยกสามารถขุดหาได้ในท้องถิ่นกระจายไปทั้งในมณฑลเหอหนานและมณฑลส่านซี —–หยกในอารยธรรมหลงซานส่วนใหญ่เจียระไนเป็นทรงเรขาคณิต ลายคน ลายหัวเสือ ลายนก ผู้คนนิยมใช้หยกประดับศีรษะ บ้างก็นำหยกมาผลิตเป็นเครื่องมือมีคม เรียกว่า ‘อวี้เกอ’ (玉戈) หยกในยุคอารยธรรมหลงซาน อักษรภาพ —–อักษรภาพในอารยธรรมหลงซานเรียกว่า ‘กู่เค่อเหวิน’ (骨刻文) เป็นอักษรภาพที่แกะสลักลงบนกระดูกสัตว์ พบที่อำเภอชางเล่อ (昌樂) มณฑลซานตง มีความคล้ายคลึงกับ ‘เจี๋ยกู่เหวิน’ (甲骨文) ที่แหล่งโบราณคดีอินซวี แต่กู่เค่อเหวินเก่าแก่กว่า —–ทั้งกู่เค่อเหวินและเจี๋ยกู่เหวินล้วนเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับการศึกษาตัวอักษรจีนในปัจจุบัน มีการขุดพบกระดูกสลักอักษรกว่า 100 ชิ้น และแผ่นหยกสลักอักษร 2 ชิ้น มีอักษรกว่า 600 ตัว อักษรเหล่านี้มีทั้งสลักลงบนแผ่นกระดูก แท่งกระดูก และเบ้ากระดูก อักษรภาพกู่เค่อเหวิน —–อักษรกู่เค่อเหวินมีความสำคัญหลายประการ ช่วงที่มีการใช้อักษรกู่เค่อเหวินเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการบันทึกถึงกษัตริย์ในตำนานอย่างหวงตี้ (黃帝) เหยียนตี้ (黃帝) ชือโหยว (蚩尤) ฯลฯ รวมทั้งเหยา (堯) ซุ่น (舜) อวี่ (禹) ฯลฯ ตามลำดับ การค้นพบกู่เค่อเหวินช่วยยืดระยะเวลาการเกิดอักษรจีนออกไปอีกกว่า 1,000 ปี และเป็นหลักฐานยืนยันว่าอักษรจีนเป็นหนึ่งในอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับอักษรรูปลิ่ม (楔形文字) ของเมโสโปเตเมียและอักษรไฮเออโรกลีฟอียิปต์ (古埃及象形文字) ทว่าอักษร 2 ชนิดนี้สาบสูญไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราชแล้ว ขณะที่อักษรจีนยังคงพัฒนาและใช้กันสืบมาจวบจนปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์อารยธรรมหลงซาน ณ มณฑลซานตง [1] ชั้นดินวัฒนธรรม คือ ชั้นดินที่พบร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ในอดีต [2] อารยธรรมเมี่ยวตี่โกวอยู่ระหว่าง 4,005-2,780 ปีก่อนคริสต์ศักราช (แหล่งโบราณคดีหย่างเสา) และยุคที่ 2 คือช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากอารยธรรมหย่างเสาไปยังอารยธรรมหลงซาน [3] จงหยวน คือ ภาคกลางของแผ่นดินจีนสมัยโบราณ ถือเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของจีนโดยนัย ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณมณฑลเหอหนาน (ตอนกลางและตอนปลายลุ่มแม่น้ำฮวงโห) เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์