—–เงินตราของจีนเป็นหนึ่งในเงินซึ่งเก่าแก่ที่สุดในโลก และแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์มาตลอดเวลากว่า 4 พันปี เป็นสีสันอย่างหนึ่งที่น่าสนใจในหน้าประวัติศาสตร์ เงินจีนบางยุคไม่เพียงใช้ในประเทศเท่านั้น แต่ยังแพร่หลายไปทั่วเอเชียอีกด้วย

—–ในช่วงที่มนุษย์ยังไม่ใช้เงินตรา พวกเขาแลกเปลี่ยนสิ่งของกันเพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ไม่สะดวกนัก เนื่องจากสิ่งที่นำมาแลกเปลี่ยนมีความหลากหลาย แต่ละคนก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน ทว่าสิ่งที่มีและต้องการนำไปแลกนั้นค่อนข้างจำกัด ต่อมามนุษย์จึงใช้เกลือ เปลือกหอย กระดูกสัตว์ หรือหนังสัตว์เป็นของแทนการแลกเปลี่ยน แต่สิ่งเหล่านี้เสียหายง่าย และไม่เหมาะที่จะนำไปดัดแปลง

เงินเปลือกหอย

—–ราวยุคราชวงศ์เซี่ย (夏 2070-1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ในหลายท้องที่ใช้เปลือกหอยที่สวยงาม ทนทาน และพกพาสะดวกมาทำเป็นเงิน คนจีนใช้เปลือกหอยสำหรับแลกเปลี่ยนเป็นเวลานาน มีบันทึกถึงการใช้เงินเปลือกหอยสั่งผลิตเครื่องทองสําริด หน่วยเงินหลักของเงินเปลือกหอยคือ ‘เผิง’ (朋) เปลือกหอย 5 ชิ้น เท่ากับ 1 ช่วน (串) 2 ช่วนเท่ากับ 1 เผิง บันทึกในอักษรเจี๋ยกู่เหวิน (甲骨文 อักษรที่สลักบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์) มักปรากฏอักษร ‘貝’ (หอย) และ ‘朋’ ควบคู่กัน ความหมายของอักษร ‘貝’ ในสมัยนั้นคล้ายคลึงกับอักษร ‘財’ (ทรัพย์) ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ตัวอักษรจีนที่มีความหมายเกี่ยวกับเงินในปัจจุบันจึงมีหมวดนำอักษร ‘貝’ (หอย) ไม่ว่าจะเป็น ‘財’ (ทรัพย์), ‘貴’ (แพง), ‘貧’ (จน) และ ‘賤’ (ถูก) ฯลฯ

 

เงินโลหะ

—–ราว 14-11 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตรงกับช่วงปลายยุคราชวงศ์ซาง (商 1600-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ศิลปวิทยาของการหลอมทองสําริดพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เกิดเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับ แม้กระทั่งเปลือกหอยทองสําริด (銅貝) ซึ่งถือเป็นกษาปณ์ (เงินตราทำด้วยโลหะ) ชนิดแรกของโลก การถือกำเนิดของเปลือกหอยทองสําริดส่งผลให้เปลือกหอยจริงค่อยๆ เสื่อมความนิยมลง เงินกษาปณ์มีข้อดีตรงที่ทนทานและจำแนกได้ง่าย

เปลือกหอยทองสําริด

—–สมัยชุนชิว (春秋 770-476 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ถึงสมัยจ้านกั๋ว (戰國 475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีการหลอมทองสําริดที่เลียนแบบรูปทรงเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อใช้เป็นเงิน ได้แก่

  1. เงินปู้ปี้’ (布幣) มีลักษณะคล้ายเครื่องมือประเภทพลั่ว เงินชนิดนี้ใช้แพร่หลายทั้งในรัฐจิ้น (晉) ในสมัยชุนชิว และรัฐจ้าว (趙) รัฐหาน (韓) รัฐเว่ย (魏) ในสมัยจ้านกั๋ว

เงินปู้ปี้

 

  1. เงินเตาปี้’ (刀幣) รูปทรงคล้ายมีดหรืออุปกรณ์จับปลาสมัยโบราณ เงินเตาปี้ไม่แพร่หลายเท่าเงินปู้ปี้ นิยมใช้ในดินแดนทางตะวันออกคือรัฐฉี (齊) และรัฐเยียน (燕) คาดว่าเพราะดินแดนทางตะวันออกติดทะเล ผู้คนดำรงชีพด้วยการประมง เงินที่ใช้จึงมีลักษณะเลียนอุปกรณ์จับปลา

เงินเตาปี้

  1. เงินหวนเฉียน’ (環錢) เป็นวงกลมมีรูตรงกลาง วิเคราะห์กันว่ารูปทรงคลี่คลายมาจากกระสวยทอผ้าสมัยโบราณที่เคยขุดค้นพบในแหล่งโบราณคดีอารยธรรมหย่างเสา (仰韶文化遺址) เงินหวนเฉียนมีขนาดเล็กใหญ่และตัวอักษรมากน้อยต่างกันไป มีใช้น้อยกว่าเงินปู้ปี้และเงินเตาปี้ นิยมใช้ในรัฐฉิน (秦) ตอนต้น

เงินหวนเฉียน

—–ในยุคชุนชิวจ้านกั๋วนี้ รัฐฉู่ (楚) ซึ่งอยู่แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง (長江) เคยใช้เหรียญทอง (金餅) และแผ่นทอง (金片) แต่รัฐอื่นๆ ในยุคนั้นใช้ทองคำเป็นเครื่องประดับ เงินที่ทำจากทองคำปรากฏน้อยมากในประวัติศาสตร์จีน เงินในช่วงก่อนราชวงศ์ฉิน (秦 221-206 ปีก่อนคริสต์ศักราช) นี้มีความหลากหลาย เพราะแต่ละรัฐก็ผลิตเงินขึ้นใช้เอง จึงยากแก่การใช้ข้ามเขตแดนและควบคุมได้ลำบาก

—–เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้ (秦始皇帝 259-210 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แห่งราชวงศ์ฉินรวมแผ่นดินจีนเป็นเอกภาพ พระองค์ประกาศใช้กฎหมายเงินตราฉบับแรกของจีนเมื่อ 210 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยให้ใช้เงินของฉินที่ชื่อว่า ‘ปั้นเหลี่ยง’ (半兩 ครึ่งตำลึง) เหมือนกันทั่วแผ่นดิน ปั้นเหลี่ยงเป็นเงินทรงกลม มีรูสี่เหลี่ยมตรงกลาง การประกาศใช้เงินดังกล่าวช่วยระงับความสับสนวุ่นวายของเงินที่หลากหลายในยุคก่อนหน้านี้ เงินปั้นเหลี่ยงผลิตจากทองสําริด เป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้านทั่วไป มีหน่วยเป็น ‘อี้’ (鎰) และ ‘สือเหลี่ยง’ (十两สิบตำลึง) นอกจากนี้ยังมีเงินที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งโดยมากจักรพรรดิพระราชทานเพื่อปูนบําเหน็จแก่ผู้มีความดีความชอบ ราชสำนักฉินยังใช้ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือข้าวสารแทนเงินสำหรับขุนนางหรือไพร่พล ในยุคนี้เองมีการแย่งอำนาจการผลิตเงินระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น

เงินปั้นเหลี่ยงสมัยฉิน

—–200 ปีก่อนคริสต์ศักราช จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (漢武帝 156-87 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西漢 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 25) มีการใช้ ‘เงินอู่จู’ (五銖 5 จู) และมาเลิกใช้ในยุคถัง นับได้ว่าอู่จูเป็นเงินที่ใช้มานานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เป็นเงินที่น้ำหนักมีมาตรฐาน นอกจากนี้จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้เคยประกาศใช้เงินที่ทำด้วยหนังกวาง มีสีขาว เป็นเหมือนของรางวัลที่มอบให้แก่ชนชั้นสูงหรือแม่ทัพนายกอง

เงินอู่จู

—–สมัยราชวงศ์ถัง (唐 ค.ศ. 618-907) จักรพรรดิถังเกาจู่ (唐高祖 ค.ศ. 566-635) ประกาศใช้ ‘เงินไคหยวนทงเป่า’ (開元通寶) คำว่า ‘ไคหยวน’ (開元) มีความหมายว่าบุกเบิกศักราชใหม่ ส่วนคำว่า ‘ทงเป่า’ (通寶) มีความหมายว่าเงินตราที่ใช้หมุนเวียนในอาณาจักร เงินชนิดนี้ใช้อย่างแพร่หลายเป็นเวลานานถึง 700 ปี

เงินไคหยวนทงเป่า

—–หลังสมัยราชวงศ์ถัง (唐 ค.ศ. 618-907) เป็นต้นมา เงินที่นิยมใช้ในวงกว้างคือ ‘ป๋ายหยิน’ (白銀) หรือเงินที่ทำด้วยแร่เงิน ราชสำนักมีการกำหนดขนาดและน้ำหนักของเงินชนิดนี้ แต่เงินป๋ายหยินที่ใช้กันทั่วไปไม่ได้เกิดจากการหลอมเป็นก้อน แต่เป็นชิ้นส่วนหรือเศษเงิน เวลาใช้ก็ต้องดูจากเนื้อเงินและน้ำหนักซึ่งถือว่ายุ่งยาก เพราะมีการหั่นเงินก้อนใหญ่เป็นชิ้นเล็กๆ (碎银)

เงินป๋ายหยิน

—–สมัยราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) ราชสำนักกำหนดให้ใช้เงินป๋ายหยินตามกฎหมาย ช่วงกลางยุคหมิงเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้น แร่เงินจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้าแผ่นดินจีนจำนวนมหาศาล ผู้คนจึงใช้เงินก้อนเป็นหลักและใช้เงินกษาปณ์เป็นรอง เมื่อถึงยุคราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616-1911) ป๋ายหยินกลายเป็นเงินหลักของจีน มีหน่วยเป็น ‘ตำลึง’ (兩) ปลายสมัยราชวงศ์ชิงราชสำนักนำเข้าเงินจากเม็กซิโกมาใช้ ช่วงที่จักรพรรดิกวงซวี่ (光緒 ค.ศ. 1871-1908) ขึ้นทรงราชย์ กอปรกับวิทยาการอันทันสมัยจากต่างประเทศ จึงมีการนำเข้าเครื่องผลิตเหรียญซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการผลิตจากการหลอมเป็นใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย พร้อมกับจัดตั้ง ‘ธนาคารหู้ปู้’ (戶部銀行) หรือ ‘ธนาคารต้าชิง’ (大清銀行) เพื่อผลิตธนบัตรอย่างเป็นทางการ สมัยราชวงศ์ชิงอำนาจรัฐส่วนกลางเข้มแข็ง เอกชนจึงไม่มีสิทธิ์ผลิตเงิน ทั้งนี้ชื่อเรียกหน่วยเงินในบางยุคอาจเหมือนกัน แต่การตีมูลค่าแตกต่างกันตามยุคสมัย

การถือกำเนิดของธนบัตร

—–การพกเหรียญทองสําริดนั้นไม่สะดวกนัก เมื่อเศรษฐกิจเฟื่องฟูถึงขีดสุดในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋 ค.ศ. 960-1127) การซื้อขายแต่ละครั้งต้องใช้เงินมหาศาล เงินโลหะมีน้ำหนักมากจึงไม่สะดวกแก่การใช้ชำระจำนวนมาก ประกอบกับมีการประดิษฐ์คิดค้นกระดาษตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (东汉 ค.ศ. 25-220) ช่วงต้นสมัยจักรพรรดิซ่งเจินจง (宋真宗ค.ศ. 968-1022) เจ้าสัว 16 คนแห่งเสฉวน (四川) ร่วมกันพิมพ์ธนบัตรที่เรียกว่า ‘เจียวจื่อ’ (交子) เงินที่ทำด้วยกระดาษจึงถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก เจียวจื่อมีรูปแบบคล้ายกับเช็คหรือดราฟต์ในปัจจุบัน บนกระดาษจะพิมพ์รูปบ้าน คน และต้นไม้ มีรหัสเพื่อกันการปลอมแปลง โดยทั่วไปใช้เจียวจื่อที่ร้านค้าหรือไปแลกเป็นเงินสดได้ ณ ที่ทำการเจียวจื่อ กระทั่งสมัยจักรพรรดิซ่งเหรินจง (宋仁宗 ค.ศ. 1010-1063) ราชสำนักผูกขาดการจัดพิมพ์เจียวจื่อ และจำกัดจำนวนพิมพ์ ภายหลังมีการเปลี่ยนชื่ออยู่หลายครั้ง

ธนบัตรชนิดแรกที่เรียกว่าเจียวจื่อ

—–ยุคราชวงศ์หยวน (元 ค.ศ. 1271-1368) ที่ปกครองโดยชาวมองโกลยังคงใช้ธนบัตรสืบมาเรื่อยๆ มีธนบัตรที่เรียกว่า ‘จงถ่งเป่าเชา’ (中統寶鈔) ซึ่งแพร่หลายไปยังเปอร์เซียและประเทศอื่นๆ จนกระทั่งสมัยราชวงศ์หมิงที่ปกครองโดยชาวฮั่น มีการผลิตธนบัตร ‘ต้าหมิงเป่าเชา’ (大明寶鈔) ขึ้นมา แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าเหรียญกษาปณ์

ธนบัตรจงถ่งเป่าเชา

—–ปัจจุบันจีนใช้เงินสกุล ‘เหรินหมินปี้’ (人民幣) มีหน่วยเป็นหยวน (元) เจี่ยว (角) เฟิน (分) ขณะเดียวกันก็เข้าสู่ยุค ‘สังคมไร้เงินสด’ มีสกุลเงินเป็น ‘หยวนดิจิตอล’ (數字人民幣) ไม่จำเป็นต้องพกธนบัตรหรือเหรียญอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้สูงอายุ ล้วนแต่ใช้จ่ายด้วยสมาร์ทโฟนอย่างคล่องแคล่วสะดวกสบาย

—–เงินตราจีนได้ผันแปรต่อเนื่องตามระบบเศรษฐกิจและการเมืองการปกครองของจีนมาหลายยุคหลายสมัย เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ใช้สอยได้ง่าย รวมทั้งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เนื่องจากเงินสมัยโบราณส่วนใหญ่ทำด้วยโลหะซึ่งทนทาน แม้จะฝังดินเป็นเวลานานก็ไม่เสียหาย เงินจึงมีมูลค่าในยุคสมัยของมัน และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบัน

 

เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์