——การมัดเท้า (缠足) เป็นประเพณีแปลกประหลาดที่ปรากฏในสังคมจีนครั้งอดีต เป็นการใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมพันเท้าผู้หญิง มัดให้แน่นไว้เป็นเวลานานจนเท้าค่อยๆ บิดงอได้รูปทรงตามที่ต้องการ และเล็กลงเป็นรูปสามเหลี่ยม คนส่วนใหญ่เลือกมัดเท้าตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อชะลอการเจริญเติบโตของเท้า โดยทั่วไปเริ่มผูกรัดเท้าเด็กผู้หญิงตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ กระทั่งโตขึ้นจนกระดูกคงตัวจึงปลดผ้าออก แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ใช้ผ้ามัดเท้าไว้ตลอดชีวิต ภาพเอ๊กซเรย์กระดูกเท้าผิดรูป ที่มาของการมัดเท้า ——มีการสืบค้นและกล่าวถึงต้นกำเนิดของการมัดเท้าแตกต่างกัน บ้างก็อ้างอิงตำนานพื้นบ้านและย้อนเวลาไปหลายพันปี เช่น สมัยราชวงศ์เซี่ย (夏 2070-1600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และราชวงศ์ซาง (商 1600-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งห่างจากปัจจุบันราวสี่พันปี เล่ากันว่า ‘อวี่’ (禹) ผู้สถาปนาราชวงค์เซี่ยได้แต่งตั้งนางถูซาน (塗山氏) เป็นฮองเฮา นางผู้นี้เดิมทีคือสุนัขจิ้งจอกที่แปลงตัวเป็นมนุษย์ จึงมีเท้าขนาดเล็กมาก ตำนานพื้นบ้านอีกเรื่องเล่าว่า ‘ต๋าจี่’ (妲己) พระสนมคนโปรดของโจ้วหวัง (紂王) ที่แท้คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง สามารถจำแลงเป็นมนุษย์ได้ แต่นางละทิ้งการบำเพ็ญตบะกลางคันจนไม่อาจเปลี่ยนเท้าของตัวเองให้กลับคืนเป็นเฉกเช่นมนุษย์ได้ จึงจำต้องใช้ผ้าห่อหุ้มปกปิดเท้า บุคคลมีชื่อเสียงที่มัดเท้า ——บ้างก็สืบค้นจากภาพวาดโบราณหรือประติมากรรมเพื่อพิสูจน์ว่าในสมัยชุนชิวจ้านกั๋ว (春秋战国 770-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีผู้หญิงมัดเท้าที่โด่งดังอยู่หลายคน เช่น มารดาของ ‘เหล่าไหลจื่อ’ (老萊子 ราว 599-479 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ผู้เป็นบุคคลตัวอย่างที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดา ภรรยาของเจิงเซิน (曾參 505-435 ปีก่อนคริสต์ศักราช) นักปรัชญายอดกตัญญูในสำนักขงจื่อ รวมทั้งไซซี (西施) สาวแคว้นเย่ว์ผู้เลอโฉม ที่มาของสำนวน ‘งามจนมัจฉาจมวารี’ (沉魚之美) เป็นการเปรียบเทียบว่าพอปลาได้ยลโฉมถึงกับจมน้ำ (มองตะลึงลานจนลืมว่ายน้ำ) นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงจิ๋นซีฮ่องเต้ (秦始皇帝 260–210 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ผู้สถาปนาราชวงศ์ฉินอันเป็นราชวงศ์แรกในประวัติศาสตร์จีน กล่าวกันว่าพระองค์โปรดปรานผู้หญิงเท้าเล็ก ถึงกับรับสั่งให้เป็นหนึ่งในคุณสมบัติตามมาตรฐานของการคัดเลือกนางในเข้าวัง ภาพวาดไซซี ขุดค้นประวัติศาสตร์ ——เมื่อศึกษาจากประวัติศาสตร์ จะเห็นว่าการมัดเท้าไม่ใช่ประเพณีนิยมดั้งเดิมของสังคมจีน จากการขุดค้นพบศพหญิงสาวสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西漢 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 25) ที่สุสานหม่าหวางตุย (馬王堆) และศพไม่เน่าเปื่อยของหญิงสาวที่ซินเจียง (新疆) ล้วนเป็นศพที่มีเท้าใหญ่ และไม่ได้มีร่องรอยของการมัดเท้า ถ้าเช่นนั้น ประเพณีการมัดเท้าที่แท้จริงเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด? ——แม้ยังไม่มีคำตอบชัดเจนในเรื่องนี้ แต่นักวิจัยด้านประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ธรรมเนียมการมัดเท้าในสังคมจีนมีมากว่าหนึ่งพันปี เริ่มแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ซ่ง (宋 ค.ศ. 960-1279) ต่อเนื่องจนถึงปลายสมัยราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616-1912) การมัดเท้าของหญิงสามัญ ——หากไม่นับบุคคลในตํานานหรือเรื่องปรัมปราซึ่งพิสูจน์ตัวตนได้ยาก ผู้หญิงทั่วไปที่มัดเท้าเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋 ค.ศ. 960-1127) ตามที่เซ่าป๋อเวิน (邵伯溫 ค.ศ. 1057-1134) บัณฑิตในยุคนั้นบันทึกไว้ในหนังสือ ‘เหวินเจี้ยนลู่’ (聞見錄) ได้กล่าวถึงเกร็ดประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งว่า วันหนึ่ง บรรณารักษ์หลวงหันเหวย (韓維 ค.ศ. 1017-1098) ขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิซ่งเสินจง (宋神宗 ค.ศ. 1048-1085) กำลังเข้าเฝ้า ระหว่างนั้นพบเห็นนางกำนัลนำรองเท้าจิ๋วมาถวาย จึงติงว่า ‘ไฉนพระองค์ต้องทรงใช้รองเท้าเต้นรำด้วยเล่า’ (王安用舞靴?) จักรพรรดิซ่งเสินจงจึงรับสั่งให้นำไปทำลายทิ้งเสีย ‘舞靴’ ในที่นี้ก็คือ ‘รองเท้าสำหรับการเต้นรำ’ รองเท้าจิ๋ว ——สมัยราชวงศ์ชิงมีบัณฑิตนามหยวนเหมย (袁枚 ค.ศ. 1716-1797) วิเคราะห์เรื่องการมัดเท้าและอ้างอิงถึงยุคจักรพรรดิซ่งเสินจงว่า “สมัยนั้นผู้หญิงยังไม่ได้สวมรองเท้าเล็กในชีวิตประจำวัน นอกจากเวลาเต้นรำ” จึงมีผู้สันนิษฐานว่า การมัดเท้าในเบื้องต้นเกิดขึ้นจากความประสงค์ของเหล่านางรำในราชสำนัก เพื่อช่วยเสริมท่ารำให้ดูอ่อนช้อย ภายหลังเริ่มนิยมกันในหมู่ผู้หญิงเฉพาะกลุ่ม ซึ่งปรารถนาจะเยื้องกรายอย่างแช่มช้า แลดูมีเสน่ห์น่าเอ็นดู อาทิ นางสนมในพระราชวัง นางบำเรอภายในบ้านของเหล่าขุนนาง คณิกาหรือหญิงงามเมืองตามสถานค้าประเวณี ฯลฯ กรอบความคิดแห่งพันธนาการ ——หลักความประพฤติซึ่งคนกลุ่มหนึ่งกำหนดขึ้นได้แผ่อิทธิพลต่อสังคม เป้าหมายกลุ่มแรกคือผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวฐานะดี ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานใดๆ ในชีวิตประจำวัน ผู้หญิงกลุ่มนี้อาจมีโอกาสเล่าเรียนหนังสือ แต่ไม่อาจแสดงบทบาทใดๆ ทางสังคม ด้วยเหตุที่สมัยโบราณผู้ชายมีสิทธิและศักดิ์ศรีเหนือกว่าผู้หญิง คนส่วนใหญ่ซึมซับคติธรรม ‘สามคล้อยตามสี่จรรยา’ (三從四德) อันเป็นหนึ่งในหลักมาตรฐานทางจริยธรรมของชาวจีนในยุคศักดินา ซึ่งยังผลให้จำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงเป็นอย่างมาก สาระสำคัญของคติธรรม ‘สามคล้อยตาม’ (三从) ประกอบด้วย ส่วน ‘สี่จรรยา’ (四德) ประกอบด้วยคุณสมบัติซึ่งผู้หญิงพึงมี 4 ประการ ได้แก่ ภาพวาดสตรีจีนโบราณคอยปรนนิบัติสามี ——ความคิดและการกระทำเหล่านี้เมื่อส่งผลต่อสังคมระดับรากหญ้าก็ถูกนำไปตีความแบบเหมารวมว่า ผู้หญิงประพฤติดี พูดจาดี แต่งตัวดีหรือทำตนเป็นแม่ศรีเรือนก็เพื่อเอาใจผู้ชาย ดั่งสำนวนชาวบ้านที่เล่ากันว่า ผู้หญิงแต่งตัวงามก็เพื่อชายที่ตนรัก (女為悅己者容) หรือผู้หญิงไร้ความสามารถถือว่ามีคุณธรรม (女子無才便是德) ในเมื่อผู้ชายชื่นชอบสิ่งใด ผู้หญิงก็ยินดีที่จะคล้อยตามหรือปฏิบัติรับใช้ จะด้วยเหตุผลเพื่ออยู่รอด เอาใจ หรือเพื่อเอาชนะก็ตาม ซ้ำร้ายกลุ่มกวีหรือเหล่าบัณฑิต ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ชายยังช่วงสร้างค่านิยมที่ผิดเพี้ยนด้วย เมื่อผู้หญิงถูกชักจูงให้คิดและเชื่อตามกระแสสังคมอย่างนั้น จิตสำนึกการแสวงหาตัวตนและเรียกร้องสถานภาพทางสังคมก็ถูกบั่นทอน เป็นการเปิดช่องโหว่ ทำให้การมัดเท้าค่อยๆ เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายโดยทั่วไป จนกลายเป็นขนบประเพณีหรือแบบแผนที่สืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (南宋ค.ศ.1127-ค.ศ.1279) โดยมีหลักฐานยืนยันหลายอย่างทั้งบันทึกทางประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ บทกลอน และภาพวาดยุคซ่ง เป็นต้น ——ในหนังสือบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์เรื่อง ‘หนันชุนชั่วเกิงลู่’ (南村輟耕錄) ซึ่งรวบรวมโดยเถาจงอี๋ (陶宗儀) มีข้อความอ้างถึงการมัดเท้าของผู้หญิงว่า “ก่อนรัชศกหยวนเฟิง (元豐 ค.ศ. 1078-1085) แห่งราชวงศ์ซ่ง ความนิยมมัดเท้ายังมีไม่มาก พอถึงปลายราชวงศ์ซ่งจึงเกิดสำนึกละอายใจต่อเท้าใหญ่ (元豐以前猶少裹足,宋末遂以大足為恥。)” ขณะเดียวกัน นักโบราณคดีก็ได้ค้นพบรองเท้าผู้หญิงขนาดเล็กจากสุสานยุคซ่งเพิ่มขึ้น เช่น รองเท้าผู้หญิงขนาดเล็กหกคู่ จากหลุมฝังศพของหวงเซิง (黄升) ในเมืองฝูโจว (福州) คู่หนึ่งสวมบนเท้าของผู้ตาย อีกห้าคู่ถูกฝังร่วมกัน ความยาวเฉลี่ย 13.3-14 ซม. และความกว้าง 4.4-5 ซม. ที่เท้าของผู้ตายมีผ้ายาว 210 ซม. พันอยู่ นี่คือการมัดเท้าแบบค่อนข้างมาตรฐาน ซึ่งคล้ายกับการมัดเท้าของราชวงศ์หมิงและชิงเป็นอย่างมาก ปัจจุบันยังค้นพบหลักฐานการมัดเท้าของผู้หญิงจากสุสานตระกูลโจวยุคราชวงศ์ซ่งใต้ในพื้นที่เต๋ออาน มณฑลเจียงซี (江西德安南宋周氏墓) และหลุมฝังศพของบุคคลนิรนามในพื้นที่เกาฉุน มณฑลเจียงซู (江蘇高淳無名氏墓) ด้วย รองเท้าที่ขุดค้นพบในมณฑลเจียงซี ——ความนิยมด้านการมัดเท้าที่เกิดขึ้นในระยะเวลากว่าสามร้อยปีแห่งยุคซ่งนี้ ถือเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้นักวิชาการสันนิษฐานว่าประเพณีการมัดเท้าได้ก่อตัวขึ้นในยุคนี้ แต่ถ้าวิเคราะห์จากมุมมองของรสนิยมด้านความสวยงามก็จะเห็นว่าผู้ชายมีบทบาทนิยามความงามของผู้หญิงตามแบบสังคมชายเป็นใหญ่มานานนับพันปี โดยกำหนดมายาคติความงามที่มีลักษณะตีกรอบ ด้วยวิธีการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์สรรเสริญความงามของหญิงสาวเท้าเล็กให้พร้อมด้วยความเย้ายวนชวนลุ่มหลงปรารถนา หรือแต่งเสริมตัวละครผู้หญิงในนิทานเรื่องเล่าให้มีสีสันและสอดคล้องกับแบบอย่างตามค่านิยมที่สังคมยกย่อง เช่น มารดาของเหล่าไหลจื่อ หรือ ภรรยาของเจิงเซิน ซึ่งเป็นบุคคลตัวอย่างเรื่องความกตัญญู จนทำให้ผู้หญิงต้องอยู่ในจารีตประเพณีอันเปรียบดั่งถูกรัดด้วยเงื่อนพันธนาการโดยไม่รู้ตัว ——หลังจากสมัยราชวงศ์ถัง (唐 ค.ศ. 618-907) แผ่นดินจีนเกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ ในบันทึกประวัติศาสตร์เรียกช่วงเวลานี้ว่า ‘ห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร’ (五代十國) ในช่วงนั้นราชวงศ์ถังใต้มีกษัตริย์องค์หนึ่งพระนามว่า หลี่โฮ่วจู่ (李後主 ค.ศ. 937-978) พระองค์โปรดการทรงพระอักษรและการอ่านหนังสือ มีพระปรีชาด้านอักษรศาสตร์และจิตรกรรม แต่กลับขาดความสามารถด้านการบริหารปกครอง พระองค์ทรงมีพระสนมนางหนึ่งชื่อเหย่าเหนียง (窅娘) ซึ่งเต้นรําอ่อนช้อยงดงาม นางใช้ผ้าพันเท้าไว้ เท้าของนางเล็กและโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยว เยื้องกรายดุจเทพธิดา กษัตริย์โฮ่วจู่โปรดปรานนางเป็นอันมาก คนในสมัยต่อมาจึงใช้คําว่า ‘บัวทองสามนิ้ว’ (三寸金蓮) เพื่อบรรยายเท้าเล็กๆ ของหญิงสาว ครั้นถึงยุคซ่ง เหล่าขุนนางของราชสำนักซ่งเสินจงและซ่งเจ๋อจง (宋哲宗 ค.ศ.1077-1100) ถึงกับยกย่องสรรเสริญความงามของเท้าเล็ก โดยเปรียบ ‘จินเหลียน’ กับดอกโบตั๋นของเมืองลั่วหยางที่ดูสมบูรณ์สง่างาม (อ่านต่อตอนที่ 2) เท้ารูปดอกบัวของสตรีสมัยราชวงศ์ชิงเมื่อเทียบกับเท้าของคนปกติ เรื่องโดย หงส์ป่า