—–ปรัชญายินหยาง (阴阳) มีความสัมพันธ์กับคัมภีร์อี้จิง (易经) คัมภีร์แห่งความเปลี่ยนแปลง ซึ่งอธิบายจักรวาลวิทยาตามความเข้าใจของคนจีนโบราณไว้ว่า จักรวาลนี้เกิดจาก อี้ (易) คือ ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งขอแปลว่า อนิจลักษณ์ ในคัมภีร์อี้จิง บรรพจื้ฉืออธิบายว่า อี้ (อนิจลักษณ์) มีไท่จี๋ (太极 แต้จิ๋วอ่าน ไท้เก๊ก) ซึ่งก็คือ ภาวะสูงสุด หรือ อุตตมภาวะ ไท่จี๋ทำให้เกิดทวิภาค คือ ยินกับหยาง ยินหยางทำให้เกิดฤดูกาลทั้งสี่ ฤดูกาลทั้งสี่ทำให้เกิดสภาวะทั้งแปด คือ ฟ้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ฟ้าร้อง คลองบึง และภูเขา จากนั้นก็ปฏิสัมพันธ์ผันแปรกัน เกิดเป็นสรรพสิ่งในจักรวาล ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงผันแปรเป็นอนิจลักษณ์อยู่ตลอดเวลา เป็นความจริงสูงสุดของจักรวาล คนจีนจำลองความรู้นี้ไว้ในภาพ ปา-กว้า (八卦 แต้จิ๋วอ่าน โป๊ยข่วย) คือ สภาวะอันแทนด้วยลายลักษณ์ทั้งแปด ดังนี้ —–ปา-กว้านี้นิยมใช้เป็นเครื่องรางของขลังด้วย เรียกกันว่า ยันต์แปดเหลี่ยม วงกลมด้านในคือไท่จี๋ (อุตตมภาวะ ซึ่งก็คือ จักรวาล) ลูกน้ำหรือปลาขาวดำด้านในคือหยางกับยิน ซึ่งแทนด้วยลายเส้นได้อีก คือ เส้นเต็ม ( —–จักรวาลวิทยานี้เกิดจากการสังเกตธรรมชาติของคนจีนว่า โลกนี้มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจากพื้นฐานสำคัญสองประการที่เป็นคู่กัน คือ ฟ้า-ดิน ดวงอาทิตย์-ดวงจันทร์ กลางวัน-กลางคืน สว่าง-มืด จึงเรียกสภาวะพื้นฐานสองประการนี้ว่า ยินหยาง ธรรมชาติที่เป็นตัวแทนหยางคือ ฟ้า ดวงอาทิตย์ กลางวัน และสว่าง ตัวแทนยินคือ ดิน ดวงจันทร์ กลางคืน และมืด ฟ้ากับดิน ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จับคู่ปฏิสัมพันธ์กันจึงเกิดความผันแปรเป็นสภาวะต่างๆ อีกเป็นอนันต์ อักษรความเปลี่ยนแปลง 易 (yì อ่านว่า อี้) จึงประกอบด้วยอักษรดวงอาทิตย์ 日 กับอักษรดวงจันทร์ 月 ที่แปลงรูปเป็น 勿 รวมเป็น 易 หมายถึง ความเปลี่ยนแปลง (จากปฏิสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์-ดวงจันทร์และฟ้า-ดิน) ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอนันตภาวะ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสิ่งสูงสุดจึงเรียกว่า ไท่จี๋ หรือ ไท้เก๊ก ในภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งหมายถึง สภาวะสูงสุด —–ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงผันแปรและปฏิสัมพันธ์ของธรรมชาติ หรือ อี้ จึงเป็นศาสตร์ชั้นสูงจากธรรมชาติศึกษาเข้าสู่ปรัชญาของคนจีน แล้วใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับความจริงของธรรมชาติ โดยดูจากสภาวะทั้งแปดในธรรมชาติ ซึ่งมีที่สำคัญคือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฟ้า ดิน —–มนุษย์พบว่า ฟ้ามีกฎระเบียบมั่นคง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจรอย่างมีระบบ หมุนเวียนตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่งเกียจคร้าน ถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของฟ้าว่า กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา (自强不息) ส่วนดินเป็นที่เกิดและรองรับสรรพสิ่งอย่างมั่นคง ไม่ปฏิเสธ มีคุณธรรมยิ่งใหญ่ รองรับสรรพสภาวะ (厚德载物) เป็นคุณสมบัติสำคัญ —–จากธรรมชาติพื้นฐานของฟ้าดินตามทรรศนะของจีน นำไปสู่หลักการดำรงชีวิตพื้นฐานสำคัญสองประการของคนจีน คือ ขยันขันแข็งกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาเหมือนฟ้า หนักแน่นอดทนเหมือนดิน เมื่อประสบปัญหาจะต่อสู้แก้ไข ไม่งอมืองอตีนหรือหวังพึ่งอำนาจภายนอก คนจีนเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และธรรมชาติ แต่จะต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีกว่าด้วยตนเอง คือเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ไม่หวังพึ่ง —–ดังนั้น แม้คนจีนจะมีความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเป็นข้อห้ามอยู่มาก แต่ก็มีทางแก้ไข ไม่ใช่เชื่องมงายจนถ่วงชีวิตตนเอง ความเชื่อบางเรื่องเป็นกุศโลบายฝึกวินัยในโอกาสอันควร เช่น วันแรกของปีใหม่จีน (1 ค่ำเดือนอ้ายจีน) ที่คนไทยนิยมเรียกว่า วันถือ นั้น ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามทะเลาะเบาะแว้ง ห้ามทำของแตกหัก ก็เพื่อฝึกความสำรวมระวัง เป็นการเริ่มต้นที่ดีในปีใหม่ ตามธรรมเนียมเดิมของจีน วัน 1-4 ค่ำ เดือนอ้ายห้ามปรุงอาหารใหม่ เพราะต้องกินของเก่าให้หมดก่อน เมื่อไม่ต้องปรุงอาหารก็ไม่มีขยะหรือมีน้อยมาก จึงไม่ต้องเอาไปเททิ้งนอกบ้าน วัน 5 ค่ำเปิดร้านเปิดบ้าน เริ่มวิถีชีวิตปกติจึงเอาไปทิ้งทีเดียว ที่สำคัญ ขยะทั้งหลายต้องถูกเก็บกวาดหมดไปตั้งแต่ก่อนวันสิ้นปี ดังนั้นเมื่อถึงวันสิ้นปี วัน 1-4 ค่ำของปีใหม่จึงไม่มีขยะต้องเก็บกวาดมาก การถือเคล็ดเรื่องไม่กวาดขยะออกนอกบ้านช่วงสี่วันนี้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนจีนในอดีต —–การถือเคล็ดและความเชื่อเรื่อง ชง (冲) จัดเป็นข้อห้ามเชิงโชคลางซึ่งมีคำเรียกรวมว่า จิ้นจี้ (禁忌) ภาษาแต้จิ๋วว่า กิ้มกี๋ นิยมตัดเหลือ กี๋ (忌) แปลว่า ข้อห้าม ซึ่งแยกย่อยเป็นหลายประเภท มีรายละเอียดมากมาย ชงจัดเป็นข้อห้ามหรือกี๋ประเภทหนึ่ง —–ข้อห้ามหรือกี๋ประเภทต่างๆ รวมทั้งชงมีวิธีการแก้แตกต่างกันไปเป็นกรณีเฉพาะ แต่ส่วนมากจะไม่ยุ่งยากสิ้นเปลือง เช่น เรื่องทิศอัปมงคล ซึ่งตรงกับทิศผีหลวงของไทย ถ้าวันไหนตรงกับประตูบ้านเรา ทั้งจีนและไทยมีวิธีแก้ง่ายๆ เหมือนกัน คือ พอออกจากบ้านหรือลงจากบันได (เรือนของคนไทย) ก็ให้หันหลังหรือตะแคงข้างออก เลี่ยงทิศอัปมงคลนั้น —–วิธีแก้ที่ง่ายและใช้ได้กับกี๋และชงทุกเรื่อง คือการใช้กระดาษเหลือง เขียนอักษร 百事無忌 (bǎi shì wú jì อ่านว่า ไป่สื้ออู๋จี้) หรือ 百無禁忌 (bǎi wú jìn jì อ่านว่า ไป่อู๋จิ้นจี้) สี่ตัวซึ่งแปลว่า “ทุกกิจการไม่มีข้อห้าม (กี๋) ใดๆ” หรือ “ไม่มีข้อห้าม (กี๋) ใดๆ” ติดไว้ในงาน ดังที่ท่านเห็นได้ในงานศพทั่วไปของคนจีน —–ทั้งนี้เพราะคนจีนมีความเชื่อเรื่อง วัน เดือน ปีเกิดของผู้ตายอาจจะ “ชง” กับผู้มาร่วมงาน หรือมีเคล็ดข้อห้ามอื่นอีก จึงแก้ด้วยการเขียนข้อความดังกล่าวติดไว้ในงาน เป็นการแก้ “ชง” แก้ “กี๋” ทั้งปวง —–ความจริงข้อความที่สมบูรณ์มีสองวรรค เขียนจากบนลงล่าง อ่านจากขวาไปซ้าย ตามรูปแบบการเขียนแบบเก่าของจีน ดังนี้ —–ข้อความวรรคที่สองอาจเขียนต่างเป็น 百無禁忌 (อ่านว่า ไป่อู๋จิ้นจี้ แต้จิ๋วอ่านว่า แป๊ะบ่กิ้มกี๋) แปลว่า “ไม่มีข้อห้ามใดๆ” ก็ได้ คำว่า ไท่กง หมายถึง เจียงไท่กง (姜太公 แต้จิ๋วอ่าน เกียงไท้กง) บุคคลในประวัติศาสตร์ผู้ร่วมก่อตั้งราชวงศ์โจวเมื่อ 1053 ปีก่อนพุทธศักราช แล้วกลายเป็นบุคคลผู้ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน แก้ชงแก้กี๋ได้สารพัด มีชื่อท่านอยู่ที่ใด ที่นั่นไร้กี๋ไร้ชงทุกประการ เรื่องของท่านมีรายละเอียดอยู่ในนิยายอิงพงศาวดารจีน เรื่อง “ห้องสิน” (封神 จีนกลางอ่านว่า เฟิงเสิน หมายถึง แต่งตั้งเทพเจ้า) ซึ่งมีฉบับแปลภาษาไทย แต่ขอสรุปความตามประวัติศาสตร์มาดังนี้ โดยเรียกบุคคลตามชื่อจีนกลางและใส่ชื่อตามนิยายเรื่องห้องสิน ซึ่งเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยนในวงเล็บ —–พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซางโหดร้าย โจวอู่หวาง (จิวบู๊อ๋อง) ประมุขแคว้นโจว ซึ่งเป็นเมืองขึ้น จึงแข็งเมืองโดยมีเจียงจื่อหยา (เกียงจูแหย) เป็นแม่ทัพยกไปปราบราชวงศ์ซาง —–เมื่อทัพโจวจะยกไปปราบซาง มีการทำพิธีเสี่ยงทายเผากระดองเต่าตามความเชื่อยุคนั้น ผลออกมาไม่ดีทุกครั้งจนโจวอู่หวางลังเล เจียงจื่อหยา ขุนพลเฒ่าผู้ไม่ยอมถือคติ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” กลับเอากระบี่ทุบกระดองเต่าเสี่ยงทายแหลกละเอียดหมดและทูลโจวอู่หวางว่า “พระองค์จะเชื่อกระดองเต่าตาย หรือเชื่อสติปัญญาและอุตสาหะวิริยะของคน ในเมื่อเราเตรียมการมาพร้อมที่สุดแล้วและศัตรูกำลังอ่อนแอ พระองค์จะทรงลังเลอะไรอยู่ กระดองเต่าตายจะช่วยให้ผู้อ่อนแอและไร้คุณธรรมชนะผู้ทรงคุณธรรมและมีความพร้อมได้ละหรือ?” โจวอู่หวางทรงฟังแล้วได้สติ ยกกองทัพบุกโจมตีตามที่เตรียมการมาอย่างดี ได้ชัยชนะอย่างงดงาม โจ้วหวางเผาตัวตาย โจวอู่หวางสถาปนาราชวงศ์โจวปกครองจีนต่อมา —–เจียงจื่อหยาได้รับสถาปนาเป็นไท่ซือ (太师) ซึ่งในที่นี้ หมายถึง จอมพลคุมกองทัพทั้งหมด มีคำเรียกยกย่องว่า ไท่กง (太公) ความหมายคล้าย สมเด็จเจ้าพระยาหรือรัฐบุรุษอาวุโส คนจึงใช้แซ่ท่านนำหน้า เรียกว่า เจียงไท่กง (เกียงไท้กง) ด้วยความเคารพ —–ตามตำนานและนิยายเรื่องห้องสินกล่าวว่า เจียงไท่กงเป็นศิษย์ของหยวนสื่อเทียนจุน (ง่วนสีเทียนจุน) พรหมผู้สร้างโลก จึงได้รับมอบหมายให้แต่งตั้งดวงวิญญาณของผู้ตายในสงครามใหญ่ครั้งนั้นเป็นเทพทั้งฝ่ายดีและร้าย เจียงไท่กงแต่งตั้งเทวดาอย่างเหมาะสมยุติธรรมจนไม่เหลือตำแหน่งสำหรับตัวเองเลย มีตำนานของชาวบ้านเล่าเสริมว่า เดิมทีเจียงไท่กงจะครองตำแหน่งเจ้าแห่งภูเขาไท่ซัน มหาบรรพตอันดับหนึ่งซึ่งคุมยมโลกทั้งหมด แต่เมื่อพบว่าลืมแต่งตั้งหวงเฟยหู่ (อึ้งปวยฮอ) ขุนนางตงฉินของโจ้วหวาง จึงยกตำแหน่งให้ ตัวเองกลายเป็น “เจ้าไม่มีศาล” จนเทพทั้งหลายซาบซึ้งในความยุติธรรมเสียสละ จึงตกลงกันว่า ถ้าเจียงไท่กงไปถึงถิ่นปกครองของเทพองค์ใด เทพองค์นั้นจะหลีกไกลไป 90 ลี้ ยกให้เจียงไท่กงเป็นใหญ่ในเขตปกครองของตนแทน —–ด้วยเหตุนี้เมื่อชื่อหรือรูปเจียงไท่กงไปปรากฏที่ใด เทพเจ้าของถิ่นนั้นต้องหลีกลี้ไปไกล อัปมงคลหรือข้อห้าม (กี๋รวมทั้งชง) จึงปลาสนาการหมดไปจากที่นั้น ตัวท่านเป็นคนดี ย่อมเกิดสิริมงคลแก่ที่นั่นแทน —–ฉะนั้นคนจีนจึงนิยมแขวนรูปท่านซึ่งมีข้อความว่า “เจียงไท่กงอยู่ที่นี่ ไม่มีข้อห้าม (กี๋, ชง) ใดๆ” ติดไว้ที่บ้าน สำหรับขับไล่อัปมงคลทั้งหลาย โดยมีรูปยันต์แปดเหลี่ยม (รวมไท้เก๊ก ยินหยาง และปา-กว้า ลายลักษณ์ทั้งแปดไว้ด้วยกัน เป็นพลังอำนาจของธรรมชาติ) อยู่เหนือศีรษะท่าน พร้อมกับข้อความดังกล่าวข้างต้น แต่ถ้าในสถานที่จัดงานก็นิยมเขียนแต่ข้อความสองวรรค ต่อมานิยมละวรรคแรกไว้ เขียนแต่วรรคหลังเท่านั้น ดังท่านจะเห็นได้ในสถานที่จัดงานศพของคนจีน —–ดังนั้นข้อห้าม (กี๋) ทั้งหลายซึ่งรวมเรื่องชงอยู่ด้วยกันนั้น แม้จะมีวิธีแก้ไขเฉพาะกรณีต่างกันไป แต่ก็มักเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากสิ้นเปลือง และมักมีวิธีแก้เคล็ดง่ายๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย —–ความเชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับถ้าไม่มากเกินไปก็ช่วยสร้างความสำรวมระวังในชีวิต แต่ถ้ามากเกินไปก็จะเป็นเครื่องถ่วงชีวิตให้ติดตัน จะทำอะไรก็ติดขัดข้อห้ามต่างๆ ไปเสียหมด คนจีนโบราณซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก จึงหาทางออกง่ายๆ โดยให้เลือกปฏิบัติเพื่อความสะดวกอีกด้วย —–ว่าเฉพาะเรื่องชง มีที่มาจากเรื่องธาตุทั้งห้าและยินหยางซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ หากเข้าใจด้วยปัญญาแล้วก็จะไม่หลงงมงาย กลายเป็นเหยื่อหมอดูหรือธุรกิจหากินบนความเชื่อเรื่องลี้ลับของคน —–ในภาษาจีนยังมีศัพท์อีกคำหนึ่งว่า ชงสี่ (冲喜 แต้จิ๋วอ่านว่า ชงฮี่ แปลว่า เติมความยินดีมีสุข) ชง ในคำนี้ อักษรเดิมเป็น 沖 (chōng อ่านว่า ชง) ที่แปลว่า ชง เติม ไม่ใช่ 衝 (chōng อ่านว่า ชง) ที่แปลว่า ขัด ขัดแย้ง แต่เป็นวิธีแก้เคล็ด เปลี่ยนร้ายให้เป็นดีอีกวีธีหนึ่ง เช่น คนป่วยอยู่ซูบเซียวก็ให้แต่งตัวสวยฉูดฉาด แก้ความซูบโทรมเป็นความสดใสรื่นเริง จึงเรียกว่า ชงสี่ (冲喜) คือ เติมความสุขให้ เพื่อขับไล่ความทุกข์และเรื่องร้าย —–ส่วนคำ ชง 衝 (อักษรย่อคือ 冲) ที่หมายถึง ขัด ขัดแย้ง นั้น เราใช้ทับศัพท์กันจนชิน มีความหมายชัดเจนเข้าใจกันดีโดยไม่จำเป็นต้องแปล ถือเป็นคำยืมเช่นเดียวกับคำว่า ก๋วยเตี๋ยว เจ๊ กงเต๊ก แต่จะแปลเพื่อประกอบคำอธิบายก็น่าจะแปลว่า ขัด ขัดแย้ง มากกว่า ชน ปะทะ ดังได้อธิบายมายืดยาว ที่สำคัญเรื่อง “ชง” น่าจะเป็นอนุสติว่าชีวิตมี 2 ด้าน ทั้งด้านดีและด้านร้าย ควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่หลงระเริงยามรุ่งเรืองและไม่ท้อแท้ยามตกต่ำ ดำรงอยู่ด้วยความกระตือรือร้นตลอดเวลา และมีคุณธรรมโอบอุ้มสรรพสิ่งดั่งคุณสมบัติของฟ้าและดินอันเป็นที่มาของยินหยาง ธาตุทั้งห้า และความเชื่อเรื่องชงในภาษาและวัฒนธรรมจีน เรื่องโดย…ผศ. ถาวร สิกขโกศล อ่านตอนที่ 1
) แทนหยาง เส้นขาด (
) แทนยิน แต่ในปา–กว้าจะเป็นสามเส้นซ้อนกัน ลายเส้นซ้อนสามเส้นที่ต่อกันเป็นแปดเหลี่ยม ได้แก่ สภาวะทั้งแปด คือ ฟ้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ฟ้าร้อง คลองบึง และภูเขา สามเส้นเต็มเป็นสัญลักษณ์แทนฟ้า สามเส้นขาดแทนดิน เส้นล่างเต็มคือฟ้าร้อง เส้นบนเต็มคือภูเขา เส้นกลางขาดคือไฟ เส้นกลางเต็มคือน้ำ เส้นบนขาดคือหนองน้ำ เส้นล่างขาดคือลม