ล่ามคือใคร? —–ล่าม คือ บุคคลผู้เป็นตัวกลางในการสื่อสารข้ามภาษา ข้ามวัฒนธรรมด้วยวาจา ณ สถานที่และทันที วิชาการล่ามและการแปลเหมือนหรือต่างกันอย่างไร —–การล่ามคือแขนงหนึ่งของการแปล เป็นการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม ถ่ายทอดความหมายจากภาษาต้นทางสู่ภาษาปลายทางโดยผ่านการพูด – จุดเหมือนของการแปลและการล่ามคือ กระบวนการถ่ายทอดภาษาต้นทางไปสู่ภาษาปลายทางที่เหมือนกันโดยเริ่มจากความเข้าใจ การวิเคราะห์ และถ่ายทอด – จุดต่างประการแรก คือเงื่อนไขเรื่องเวลา เนื่องจากล่ามเมื่อแปลออกไปแล้ว หากเนื้อหาผิดพลาดจะไม่สามารถแก้ไขได้มากนัก แต่ในทางกลับกันการแปลจะสามารถตรวจทานความถูกต้องของเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมา หรือปรับแต่งภาษาให้เหมาะสมได้ จุดต่างประการที่สอง คือองค์ประกอบอื่นๆ การล่ามจะมีองค์ประกอบมากกว่าการแปล อาทิ เมื่อต้องทำหน้าที่ในที่สาธารณะบุคลิกภาพและน้ำเสียงเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้ล่ามยังต้องมีความจำที่ดี เนื่องจากมีเวลาจำกัดในการแปล ดังนั้นจำเป็นต้องมีการสะสมคลังความรู้ที่สามารถเรียกใช้ได้ทันที แต่ล่ามก็มีข้อได้เปรียบการแปลเช่นกัน เมื่อล่ามแปลออกไปจะสามารถดูปฏิกิริยาของผู้ฟังได้ทันทีว่าเข้าใจที่ตนสื่อหรือไม่ ประการสุดท้ายคือ จุดต่างด้านมาตรฐาน โดยทั่วไปการแปลจะเน้นการแปลตามมาตรฐาน แต่ล่ามจะให้ความสำคัญกับความถูกต้องและรวดเร็ว ประเภทของล่าม —–การล่ามแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ ตำราสำหรับล่ามระหว่างประเทศ คุณสมบัติที่ล่ามต้องมี ล่ามต้องการฝึกฝนให้มีความรู้และความคล่องตัวในการใช้ภาษาทั้งสองภาษาเป็นอย่างดี ซึ่งคนส่วนใหญ่เมื่อฝึกภาษาปลายทางจนคล่องแคล่ว ปัญหาที่จะตามมาคือจะใช้ภาษาแม่ไม่เป็นธรรมชาติ เช่น การพูดภาษาไทยด้วยไวยากรณ์ภาษาจีน ล่ามต้องมีความรู้และคลังคำศัพท์เฉพาะทางในการแปล มีการศึกษาทำความเข้าใจเนื้อหาที่จะเจรจามาล่วงหน้า อาจมีการสร้างคลังคำศัพท์ของตนขึ้นเพื่อใช้ในโอกาสถัดไป นอกจากนี้ล่ามยังต้องศึกษาวิธีการจดให้มีประสิทธิภาพรวดเร็วและไม่ตกหล่น ในวงการล่ามเครือข่ายมีความสำคัญ เนื่องจากล่ามจะอาศัยการแนะนำงานต่อๆ กัน หากมีคนแนะนำคนจ้างจะไว้ใจล่ามที่แนะนำมามากกว่า กรณีไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ไม่ควรปฏิเสธงานแต่ควรแนะนำเพื่อนร่วมวงการและไว้ใจได้แทน เพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้จ้างและเพิ่มโอกาสที่เพื่อนร่วมวงการจะแนะนำงานให้เรากลับ ล่ามต้องมีความรู้กว้างขวางต้องตามทันสถานการณ์โลกให้ทัน ล่ามควรหาหัวข้อเบาๆ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องคุยหรือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ล่ามจำเป็นต้องมีความจำรวมถึงสมาธิที่ดี มีคลังคำศัพท์พร้อมใช้งานตลอดเวลา มีความจำระยะสั้น ระยะยาว อาจมีการจดบันทึกเล็กน้อย การเปิดเผยรายละเอียดเรื่องที่แปลถือเป็นการผิดจรรยาบรรณ และทำลายความน่าเชื่อถือของตนเอง ข้อมูลที่เปิดเผยไปอาจทำให้องค์กรเสียหายได้ ล่ามต้องมีทักษะการวิเคราะห์ที่ดี เพื่อลำดับความใหม่และถ่ายทอดให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย จึงไม่จำเป็นต้องแปลละเอียดแต่นำใจความหลักถ่ายทอดออกมา ล่ามต้องมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อรับมือกับงานที่อาจจะติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือสถานที่ไม่อำนวย รวมถึงสมองต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ว่องไว ดังนั้นผู้มีปัญหาสุขภาพควรเลือกรับงานที่มั่นใจว่าจะสามารถปฏิบัติงานได้จนจบ งานล่ามเป็นงานที่มีความกดดันสูง เมื่อเครียดอาจทำให้ประสิทธิภาพการแปลลดลง ล่ามต้องจัดการอารมณ์ให้ดี หากแปลผิดต้องรู้จักให้อภัยตนเอง บุคลิกภาพ การแต่งกาย กิริยาสุภาพ มีความสำคัญต่องานล่าม เนื่องจากแสดงถึงความน่าเชื่อถือ ต้องแต่งกายเหมาะสมกับงาน การเตรียมตัวก่อนปฏิบัติงาน —–ระยะยาว – ต้องฝึกภาษา สะสมคลังคำศัพท์และรูปประโยค ฝึกการแปลกลับไปมา ฝึกการจดบันทึกอย่างมีประสิทธิภาพ อ่านหนังสือให้มาก และฝึกบุคลิกภาพ —–ระยะกลาง – ค้นหาความรู้ ศัพท์ ชื่อบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับงานที่จะปฏิบัติ รู้สถานที่ ลำดับการประชุมและเวลา —–ระยะสั้น – เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ให้พร้อม ไปถึงสถานที่ก่อนเวลานัดหมาย 1-2 ชั่วโมง การล่ามกับการจดบันทึก —–ล่ามไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูด สิ่งที่ควรจดคือข้อมูลที่จำยาก อาทิ ชื่อเฉพาะและตัวเลข สิ่งที่ไม่ควรจดคือข้อมูลที่รู้อยู่แล้ว เทคนิคการจดบันทึก เทคนิคในการพัฒนาภาษาเพื่องานแปลและงานล่าม แบบฝึกหัด 替换练习 จาก 《赢在中国》 หนังสือคำกล่าวในที่ชุมนุมชน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เป็นปัญหาในการเรียบเรียงภาษา สรุปคือหากแปลจีนเป็นไทยจะต้องวิเคราะห์โครงสร้างประโยค หาประธาน กริยา กรรม จับให้ได้ว่ามีอะไรเป็นส่วนขยายหาคำหลักและแปลย้อนกลับ สรุปจากการบรรยายหัวข้อ “แนวทางการพัฒนาตนสู่ล่ามจีน-ไทย ไทย-จีน สำหรับผู้สนใจงานล่าม” โดย รศ.ดร.กนกพร นุ่มทอง ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หนังสือพิมพ์ ‘星暹传媒’