—–ในปี ค.ศ. 1274 เมื่อฮ่องเต้ซ่งตู้จง (宋度宗) สวรรคต ราชสำนักซ่งใต้จึงเหลือรัชทายาทองค์น้อยอยู่ 3 พระองค์ ได้แก่ องค์ชายเจ้าซื่อ (赵昰) พระชนมายุ 7 พรรษา พระโอรสในหยางซูเฟย[1] (杨淑妃) องค์ชายเจ้าเสี่ยน (赵显) พระชนมายุ 4 พรรษา พระโอรสในเฉวียนฮองเฮา (全皇后) และองค์ชายเจ้าปิ่ง (赵昺) ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 3 พรรษา พระโอรสในอวี๋ซิวหรง[2] (俞修容) เนื่องจากหน่อเนื้อกษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ยังทรงพระเยาว์นัก จึงเกิดความขัดแย้งขึ้นในราชสำนัก ขุนนางส่วนใหญ่สนับสนุนให้องค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ทว่าเซี่ยไทฮองไทเฮา[3] (谢太皇太后) และเจี่ยซื่อเต้า (贾似道) ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้กุมอำนาจในราชสำนัก สนับสนุนให้องค์ชายรองซึ่งมีศักดิ์เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งขึ้นสืบราชบัลลังก์ อย่างไรก็ตามไม่ว่าตำแหน่งฮ่องเต้ในครั้งนั้นจะตกอยู่กับพระองค์ใด ท้ายที่สุดแล้วคนรุ่นหลังต่างรู้จักทั้ง 3 พระองค์ในนาม ‘สามฮ่องเต้น้อยแห่งปลายราชวงศ์ซ่งใต้’
ฮ่องเต้เจ้าเสี่ยน: ฮ่องเต้ผู้ใฝ่ธรรม และขุนนางกังฉิน
—–ฮ่องเต้เจ้าเสี่ยน เสด็จพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1271 เมื่อพระราชบิดาสวรรคต ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นฮ่องเต้องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ด้วยการสนับสนุนของเซี่ยไทฮองไทเฮาและเจี่ยซื่อเต้า เพราะพระชนมายุที่ยังเยาว์วัย ไทฮองไทเฮาจึงขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน แต่ถึงกระนั้นอำนาจทั้งหมดกลับตกอยู่ในมือของขุนนางใหญ่อย่างเจี่ยซื่อเต้า อาจนับเป็นโชคร้ายของราชวงศ์ซ่งก็เป็นได้ ที่มีขุนนางกังฉินเช่นนี้ เจี่ยซื่อเต้าไม่เพียงแต่ไม่เอาใจใส่การงาน ทั้งยังขี้ขลาดและคดโกง ทำให้กองทัพมองโกลมีโอกาสรุกรานเขตแดนซ่งเรื่อยมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1276 แม่ทัพโป๋เหยียน (伯颜) แห่งกองกำลังมองโกลบุกตีถึงเมืองหลินอัน[4] (临安) ไทฮองไทเฮาจึงยกเขตแดนมณฑลฮกเกี้ยนให้แก่องค์ชายเจ้าซื่อ และยกเขตแดนมณฑลกวางตุ้งกับกวางสีให้องค์ชายเจ้าปิ่ง อีกทั้งสั่งให้ทหารอารักขาองค์ชายน้อยทั้ง 2 พระองค์ออกจากเมืองหลินอัน ขณะเดียวกันราชสำนักซ่งใต้ก็พยายามผูกไมตรีกับกองทัพมองโกลแต่ไม่สำเร็จ จึงต้องยอมจำนนในที่สุด กองทัพมองโกลเข้ายึดเมืองหลินอัน และควบคุมตัวฮ่องเต้เจ้าเสี่ยนที่ขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 6 พรรษา รวมทั้งเซี่ยไทฮองไทเฮา เฉวียนไทเฮา และข้าราชบริพารอีกมากมายกลับไปเมืองหลวงของชาวมองโกล
—–แม้ว่าชีวิตในต้าตู้[5] จะสะดวกสบาย ทว่ากลับไร้อิสรภาพ จากฮ่องเต้กลับกลายเป็นเพียงเจ้านายธรรมดา ในปี ค.ศ. 1288 ฮ่องเต้เจ้าเสี่ยนเสด็จออกผนวช และย้ายไปอยู่ทิเบต โดยมีฉายาทางธรรมว่าเหอจุน (合尊) พระองค์ทรงอุทิศตนให้แก่พุทธศาสนาและมุ่งมั่นศึกษาภาษาทิเบต ด้วยพระปรีชาสามารถ ไม่นานฮ่องเต้เจ้าเสี่ยนก็กลายเป็นนักบวชผู้มีชื่อเสียง เดินทางแสดงธรรมไปทั่วทุกสารทิศ และมีผลงานการแปลมากมาย โดยเฉพาะการแปลคัมภีร์จากภาษาจีนเป็นภาษาทิเบต
ภาพวาดฮ่องเต้เจ้าเสี่ยน
—–ในปี ค.ศ. 1323 บันทึกสมัยราชวงศ์หยวน[6] ได้กล่าวว่า ผู้นำมองโกลในสมัยนั้นไม่ปรารถนาให้ฮ่องเต้เจ้าเสี่ยนมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไป จึงสั่งให้พระองค์ปลิดชีวิตตัวเองลงที่เมืองเหอซี (河西) แต่บางตำรากลับโต้แย้งว่าบันทึกดังกล่าวไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1323 ฮ่องเต้เจ้าเสี่ยนได้จากโลกนี้ไปด้วยพระชนมายุ 52 พรรษา ถือเป็นการสิ้นสุดชีวิตนักบวชที่อุทิศตนให้แก่พุทธศาสนาเป็นเวลากว่า 35 ปี
หากกล่าวถึงฮ่องเต้เจ้าเสี่ยน ขุนนางคนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ เจี่ยซื่อเต้า ผู้มอบบัลลังก์มังกรให้แก่องค์ชายน้อย เจี่ยซื่อเต้าเป็นตัวอย่างขุนนางกังฉินที่กุมอำนาจแต่ไร้ความสามารถ เขาเคยติดสินบนทหารมองโกลเพื่อแลกกับชัยชนะจนได้รับแต่งตั้งให้มีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก เจี่ยซื่อเต้าลุ่มหลงในสุรานารี ไม่สนใจการงาน และเป็นคนปกปิดเรื่องการรุกรานของกองทัพมองโกลเป็นเวลา 6 ปีเต็ม ทำให้สถานการณ์เลวร้ายจนเกินเยียวยา ในปี ค.ศ. 1275 เกิดสงครามที่เมืองอู๋หู (芜湖) เหล่าขุนนางต่างคาดหวังให้เจี่ยซื่อเต้านำทัพออกรบอีกครั้ง เขารู้ดีว่าศักยภาพของกองทัพมองโกลแข็งแกร่งกว่าซ่งใต้หลายเท่านัก แต่เมื่อไม่อาจทัดทานได้ เจี่ยซื่อเต้าจึงคิดติดสินบนเพื่อซื้อชัยชนะเช่นเดิม ทว่าครั้งนี้กลับต้องผิดหวัง แม่ทัพโป๋เหยียนปฏิเสธข้อเสนอ เจี่ยซื่อเต้ากลัวตายจึงแอบหนีเอาตัวรอด ทิ้งให้กองทัพซ่งพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
—–เหล่าขุนนางต่างไม่พอใจในการกระทำของเจี่ยซื่อเต้า จึงกดดันให้ไทฮองไทเฮาประหารชีวิตขุนนางขี้ขลาดผู้นี้ แม้ไม่เห็นด้วย แต่ไทฮองไทเฮาจำต้องเนรเทศเจี่ยซื่อเต้าไปยังพื้นที่ห่างไกล ระหว่างทางเจิ้งหู่เฉิน (郑虎臣) ผู้ควบคุมตัวเจี่ยซื่อเต้าไปยังที่หมาย แค้นที่เจี่ยซื่อเต้าเคยทำร้ายตน เจิ้งหู่เฉินจึงลงมือสังหารขุนนางกังฉินผู้นี้กลางป่า จบชีวิตของขุนนางผู้เคยยิ่งใหญ่ในราชสำนัก
ฮ่องเต้เจ้าซื่อ: ฮ่องเต้น้อยพลัดถิ่น และขุนนางผู้ภักดี
—–ฮ่องเต้เจ้าซื่อ เสด็จพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1269 เมื่อกองทัพมองโกลบุกเข้ายึดเมืองหลินอันและควบคุมตัวฮ่องเต้เจ้าเสี่ยนพร้อมทั้งเซี่ยไทฮองไทเฮา เฉวียนไทเฮาและข้าราชบริพารส่วนหนึ่งกลับไปยังเมืองหลวงของชาวมองโกล เหล่าขุนนางผู้ไม่ปรารถนาจะสวามิภักดิ์ต่อมองโกลภายใต้การนำของเจียงวั่นไจ่ (江万载) ได้นำเสด็จองค์ชายเจ้าซื่อ องค์ชายเจ้าปิ่งพร้อมเชื้อพระวงศ์อีกหลายพระองค์ หลบหนีออกจากเมืองหลินอัน ระหว่างทางได้พบกับกองทัพของขุนนางผู้ภักดีต่อราชวงศ์ซ่งใต้ ได้แก่ เฉินอี๋จง (陈宜中) จางซื่อเจี๋ย (张世杰) และลู่ซิ่วฟู (陆秀夫) เหล่าทหารรวมกำลังคุ้มกันทำให้กองทัพแข็งแกร่งขึ้น องค์ชายน้อยต้องเปลี่ยนที่ประทับอยู่บ่อยครั้งเพื่อหลบหนีการไล่ล่า จนท้ายที่สุดจึงเลือกหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองฝูโจว มณฑลฮกเกี้ยนเป็นที่ประทับแห่งใหม่ ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1276 เหล่าขุนนางจึงทูลเชิญองค์ชายเจ้าซื่อที่ขณะนั้นมีพระชนมายุ 7 พรรษาขึ้นครองราชย์ที่เมืองฝูโจว ถือเป็นฮ่องเต้องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ซ่งใต้
ภาพวาดฮ่องเต้เจ้าซื่อ
—–หลังจากนั้นเพียง 6 เดือน ทหารมองโกลก็บุกมาถึงเมืองฝูโจว ฮ่องเต้เจ้าซื่อจึงเสด็จแปรพระราชฐานมาประทับบนเรือพระที่นั่งเพื่อสะดวกในการหลบหนี เรือที่ประทับรอนแรมผ่านเมืองต่างๆ เช่น แต้จิ๋ว (潮州) เวินโจว (温州) ฮุ่ยโจว (惠州) เป็นต้น ในปี ค.ศ. 1278 เรือที่ประทับปะทะกับพายุใหญ่บริเวณเกาะเหนาโจว (硇洲) เป็นเหตุให้ฮ่องเต้องค์น้อยที่มีพระพลานามัยไม่แข็งแรงอยู่แล้วทรงพลัดตกจากเรือ เจียงวั่นไจ่ช่วยฮ่องเต้ขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย แต่เขาเองกลับถูกกระแสน้ำพัดพาจนหาตัวไม่พบ เมื่อสูญเสียขุนนางใกล้ชิดอย่างเจียงวั่นไจ่ ฮ่องเต้เจ้าซื่อจึงเสียพระทัยจนพระอาการประชวรทรุดหนักลง จากนั้นเพียง 23 วัน ฮ่องเต้เจ้าซื่อสวรรคตลงในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1278 รวมพระชนมายุได้ 9 พรรษา ปัจจุบันเชื่อกันว่าหลุมพระบรมศพอยู่ที่เกาะลันเตา (大屿山) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮ่องกง
—–ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่ ‘ฮ่องเต้น้อยพลัดถิ่น’ ได้รอนแรมหนีศัตรู ขุนนางคนสำคัญผู้คอยอารักขาด้วยชีวิตคือเจียงวั่นไจ่ เขามีบทบาทสำคัญตั้งแต่คุ้มครององค์ชายน้อยหลบหนีออกจากเมืองหลินอัน จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ในปี ค.ศ. 1278 ขณะที่ฮ่องเต้เจ้าซื่อทรงพลัดตกเรือ เจียงวั่นไจ่ที่มีอายุกว่า 70 ปี กระโดดลงไปช่วยฮ่องเต้น้อยทันที แต่เขากลับหายไปในเกลียวคลื่นอย่างไร้ร่องรอย ความภักดีนี้ยังหยั่งรากฝังลึกลงไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ข้าราชบริพารตระกูลเจียงคอยติดตามปกป้องและรับใช้เชื้อพระวงศ์มาโดยตลอดแม้ในยามยาก หยางซูเฟย (ในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นหยางไทเฮา) ซาบซึ้งในน้ำใจของคนตระกูลเจียง จึงพระราชทานนางข้าหลวงให้แก่ลูกหลานตระกูลเจียง นอกจากนี้ยังพระราชทานพระธิดาในพระองค์ให้แก่หลานชายของเจียงวั่นไจ่อีกด้วย การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอบแทนน้ำใจแห่งความภักดี แต่ยังเป็นการสร้างสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างราชวงศ์กับข้าราชการระดับสูง ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในหลายยุคหลายสมัย
ฮ่องเต้เจ้าปิ่ง: ฮ่องเต้น้อยไร้บัลลังก์ และขุนนางผู้เสียสละ
—–ฮ่องเต้เจ้าปิ่ง เสด็จพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1271 หลังจากที่ฮ่องเต้เจ้าซื่อ พระเชษฐาต่างมารดาสวรรคต หนึ่งเดือนถัดมา ลู่ซิ่วฟูจึงทูลเชิญองค์ชายเจ้าปิ่งขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ และนำเสด็จแปรพระราชฐานมาประทับ ณ ผาหยาซาน (崖山) กองทัพซ่งได้จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการรบอย่างผาหยาซานเป็นปราการธรรมชาติ แต่เพราะจางซื่อเจี๋ยผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพในตอนนั้นเดินหมากผิด โดยเลือกตั้งค่ายบนเรือแล้วผูกเรือรบกว่าพันลำเข้าด้วยกัน แม้จะเป็นการผนึกกำลังให้แน่นหนาขึ้น ทว่าในขณะเดียวกันก็ทำให้กองทัพขาดความคล่องตัว จึงทำให้ทัพมองโกลโจมตีได้ง่าย
—–จางหงฟั่น[7] (张弘范) แม่ทัพฝ่ายมองโกลเห็นดังนั้นจึงลอบส่งเรือเข้าไปหวังเผาค่ายกองทัพซ่ง แต่เรือของกองทัพซ่งเตรียมป้องกันล่วงหน้าด้วยการพอกโคลนไว้ที่ลำเรือ ทำให้แผนไม่สำเร็จ ต่อมาแม่ทัพจางหงฟั่นจึงเปลี่ยนแผน ใช้วิธีปิดล้อมตัดเสบียง ทำให้กองทัพซ่งขาดน้ำและอาหารเป็นเวลากว่า 10 วันจนกำลังทหารอ่อนแอลงมาก ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1279 แม่ทัพมองโกลเปิดฉากการโจมตีกองทัพซ่งโดยการแบ่งกองทัพออกเป็นหลายสาย และใช้ประโยชน์จากน้ำขึ้นน้ำลงเข้าโอบล้อมกระชับกองทัพซ่ง จางซื่อเจี๋ยเห็นว่ากองทัพฝ่ายตนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำต่อมองโกล จึงแบ่งทหารส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมนำเสด็จหยางไทเฮาหลบหนี และอีกส่วนส่งไปยังเรือที่ประทับฮ่องเต้เจ้าปิ่ง ลู่ซิ่วฟูที่รับหน้าที่ดูแลฮ่องเต้เจ้าปิ่งไม่คุ้นหน้าทหารที่อ้างว่าจะนำเสด็จหนี เกรงจะเป็นกลลวงของศัตรูที่หมายจะจับตัวฮ่องเต้น้อย จึงปฏิเสธไม่ยอมลงเรือ เมื่อหมดหนทางหนี ลู่ซิ่วฟูจึงรีบแต่งองค์ให้ฮ่องเต้เจ้าปิ่ง มัดตราพระราชลัญจกรติดตัว ก่อนจะแบกฮ่องเต้น้อยที่กรรแสงดังลั่นด้วยความตกพระทัยไว้บนหลัง แล้วกระโดดลงทะเลจบชีวิตไปด้วยกัน
—–เหตุการณ์ครั้งนั้นตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1279 ถือเป็นวันสวรรคตของฮ่องเต้เจ้าปิ่งซึ่งมีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา และถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ซ่งอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันเชื่อกันว่าสุสานฮ่องเต้เจ้าปิ่งตั้งอยู่ที่เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง มีชื่อเรียกว่า ‘สุสานฮ่องเต้น้อยแห่งราชวงศ์ซ่ง’ (宋少帝陵)
รูปปั้นลู่ซิ่วฟูและฮ่องเต้น้อยเจ้าปิ่ง ตั้งอยู่ที่สุสานฮ่องเต้น้อยแห่งราชวงศ์ซ่ง เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง
—–เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวปลายราชวงศ์ซ่งใต้ ลู่ซิ่วฟูเป็นขุนนางอีกท่านที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง เขาร่วมอารักขาฮ่องเต้น้อยตั้งแต่หลบหนีจากเมืองหลินอัน เมื่อครั้งที่ทหารสูญเสียกำลังใจเพราะฮ่องเต้เจ้าซื่อสวรรคตลง ลู่ซิ่วฟูเป็นคนปลุกใจให้ทหารฮึดสู้อีกครั้ง และสนับสนุนให้สถาปนาองค์ชายเจ้าปิ่งขึ้นเป็นขวัญกำลังใจองค์ใหม่ของเหล่าทหาร ลู่ซิ่วฟูเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของขุนนางตงฉินผู้อุทิศทั้งกายและใจให้แก่ราชวงศ์ เห็นได้จากครั้งสุดท้ายที่กองทัพซ่งใต้และมองโกลปะทะกัน เพื่อไม่ให้ฝ่ายมองโกลจับตัวฮ่องเต้ได้เหมือนเมื่อครั้งฮ่องเต้เจ้าเสี่ยน เขาจึงตัดสินใจพลีชีพเพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติของราชวงศ์ซ่งที่ไม่อาจให้ศัตรูย่ำยีได้ถึงสองครั้งสองครา ความเสียสละและความจงรักภักดี ทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็น ‘วีรบุรุษผู้พลีชีพเพื่อประเทศชาติ’
[1]ซูเฟย (淑妃) คือ ตำแหน่งสนมขั้นที่ 1 เทียบเคียงได้กับตำแหน่งพระราชเทวีของไทย
[2]ซิวหรง (修容) คือ ตำแหน่งสนมขั้นที่ 2
[3]ไทฮองไทเฮา (太皇太后) คือ ตำแหน่งพระอัยยิกาของฮ่องเต้
[4]หลินอัน (临安) เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งใต้ ปัจจุบันคือเมืองหังโจว (杭州)
[5]ต้าตู (大都) เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน ปัจจุบันคือกรุงปักกิ่ง
[6] 《佛祖历代通载》เป็นบันทึกในสมัยราชวงศ์หยวน กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติพุทธศาสนาในสมัยต่างๆ ตั้งแต่เริ่มเผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีน
[7] จางหงฟั่น คือ อดีตแม่ทัพชาวซ่งที่เข้าสวามิภักด์ต่อมองโกล ด้วยความสามารถทางการรบที่โดดเด่น ไม่นานจางหงฟั่นจึงกลายเป็นแม่ทัพคนสำคัญของกองทัพมองโกล ในการปะทะกันครั้งสุดท้ายระหว่างกองทัพซ่งและมองโกลที่ผาหยาซาน จางหงฟั่นเป็นแม่ทัพฝ่ายมองโกลนำตีทัพซ่งจนแตกพ่าย และปิดฉากราชวงศ์ซ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปี
เรื่องโดย องค์หญิงเหมยฮวา