—–การมีบุตรจำนวนมากเพื่อดำรงไว้ซึ่งวงศ์ตระกูลถือเป็นค่านิยมสำคัญของคนจีนมาแต่โบราณ ทว่าในสมัยก่อนวิทยาการด้านการแพทย์ยังค่อนข้างล้าหลัง อัตราการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากภาวะคลอดยากจึงอยู่ในระดับสูง ทารกหลายคนต้องสิ้นชีวิตลงก่อนลืมตาดูโลก ยิ่งกว่านั้นค่านิยมการแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้ร่างกายไม่พร้อมสำหรับการมีบุตร ดังนั้นชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ในสมัยโบราณจึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจะเสียชีวิตหรือไม่ก็เสียชีวิตพร้อมกันทั้งแม่ลูก ดั่งสำนวนจีนที่ใช้เปรียบการคลอดว่า 一脚踏进鬼门关หมายถึง ขาข้างหนึ่งก้าวสู่ความตาย

—–นอกจากนี้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์การปล้นสุสานของจีน หนีฟางลิ่ว(倪方六) สันนิษฐานว่าการฝังศพแบบเยาเคิง (腰坑) หรือประเพณีฝังศพที่จะนำสิ่งของที่ผู้ตายรักหรือต้องการนำติดตัวไปหลังเสียชีวิตฝังไว้ใต้ศพอีกชั้นหนึ่ง อาจมีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากการคลอดยาก ใน ค.ศ. 1965-1966 นักโบราณคดีขุดค้นพบหลุมศพ 3 หลุมที่มีลักษณะพิเศษ เป็นสุสานแบบเยาเคิง ณ มณฑลเหอหนาน (河南) ซึ่งเป็นสุสานในยุคหินใหม่ตอนปลาย ตรงกลางของหลุมศพภายใต้ร่างเจ้าของหลุมมีหลุมเล็กลงไปอีกชั้นหนึ่ง เมื่อขุดขึ้นมาก็ปรากฏโครงกระดูกทารกในโถ ตำแหน่งของโถอยู่ใต้อวัยวะเพศของเจ้าของหลุมฝังศพ สันนิษฐานว่าถูกฝังในเวลาไล่เลี่ยกันกับศพมารดา ซึ่งสะท้อนความจริงจากอดีตที่มีการเสียชีวิตของหญิงสาวจากการคลอดบุตร นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่าอาจมีนัยทางศาสนาหรือเพื่อภาวนาให้วงศ์ตระกูลมีลูกหลานสืบทอดต่อไป ถ้าเช่นนั้นในอดีตจะคลอดลูกอย่างปลอดภัยด้วยวิธีไหน ต้องตระเตรียมสิ่งใดบ้าง หากไม่สามารถคลอดตามธรรมชาติได้จะมีวิธีการผ่าคลอดเช่นปัจจุบันไหม

หลุมศพที่พบโครงกระดูกทารก

 

การเตรียมตัวก่อนคลอดบุตร

—–เมื่ออายุครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์ใกล้ครบกำหนดคลอด เธอต้องเตรียมพร้อมทั้งด้านจิตใจและวัตถุ ได้แก่ การจัดหาเครื่องใช้ในการคลอด เสื้อผ้าสำหรับทารก การเชิญหมอตำแยมาทำคลอด การจัดเตรียมห้องคลอด ฯลฯ สิ่งของเครื่องใช้ในการคลอดทารกในอดีตมีหลากหลาย เนื่องจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละยุคสมัยแตกต่างกัน เช่น สมัยราชวงศ์ซ่ง (宋 ค.ศ. 960-1279) สิ่งของจำเป็นที่ครอบครัวต้องเตรียมได้แก่ กรรไกรตัดสายสะดือ เตาต้มยา (煎藥爐) หม้อปรุงยา (銚子) ผ้ากรองยา (濾藥帛) ส่วนอุปกรณ์สำหรับฆ่าเชื้อโรคในห้องคลอด ได้แก่ น้ำส้มสายชูชั้นดีและก้อนหินขนาดเล็ก 10-20 ก้อน โดยจะนำน้ำส้มสายชูราดลงบนก้อนหินเหล่านี้ที่เผาไฟแล้ว เพื่อให้ห้องคลอดอบด้วยไอน้ำส้มสายชูเป็นการฆ่าเชื้อโรค อุปกรณ์ที่ใช้เตรียมน้ำสำหรับมารดาและล้างตัวทารกแรกเกิด ได้แก่ กาต้มน้ำ คนโทน้ำ (湯瓶) ผ้าเช็ดตัว สบู่ที่ทำจากสมุนไพรจ้าวเจี่ยว (皂角) ผสมกับเครื่องหอม เมื่อมารดาต้องนั่งคลอด สิ่งที่ควรมีคือ เก้าอี้เอนนอน (卧交椅) ผ้าสักหลาดนุ่ม (軟厚氈) บางครอบครัวอาจเตรียมข้าวสวยหรือโจ๊กเพื่อให้มารดาได้เติมยามหิว เตรียมยาบำรุงบางชนิด เช่น ยาเป่าชี่ซ่าน (保氣散) และฝอโส่วซ่าน (佛手散) ใช้สำหรับกระตุ้นการคลอด เช่นเดียวกับคนไทยโบราณที่ดื่มน้ำอุ่นกับใบมะนาวเพื่อให้คลอดง่าย รวมทั้งสิ่งที่เกี่ยวกับความเชื่อ เช่น ม้าน้ำและเครื่องรางคลอดลูก คนสมัยก่อนเชื่อว่าหากถือเครื่องรางหรือยันต์เหล่านี้หรือวางไว้ในห้องคลอด จะมีพลังอย่างน่าอัศจรรย์ในการเอาชนะภาวะคลอดยาก

เก้าอี้สำหรับนั่งคลอด

ยันต์คลอดลูกง่ายสมัยโบราณ

 

—–ตั้งแต่เตรียมคลอดจนถึงช่วงพักฟื้นร่างกายหลังคลอดที่เรียกว่า ‘อยู่เดือน’ หรือ ‘อยู่ไฟ’ (坐月子) หญิงตั้งครรภ์ต้องอยู่ภายในห้องซึ่งครอบครัวจัดไว้ให้เท่านั้น ห้องคลอดนี้อยู่ห่างจากห้องอื่นๆ เป็นเอกเทศ เพื่อให้หญิงคลอดบุตรในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ มิดชิด และได้อบอุ่นร่างกาย คนสมัยก่อนเชื่อว่าการคลอดลูกของผู้หญิงเป็นพฤติกรรมที่สกปรก การคลอดในห้องนอนหรือห้องโถงกลางบ้านอาจเป็นมลทินแก่บรรพบุรุษจนนำมาซึ่งภัยพิบัติ บางครอบครัวถึงกับให้หญิงตั้งครรภ์ออกจากบ้านไปคลอดที่อื่น

—–นอกจากนี้ยังมีความเชื่อทางไสยศาสตร์สมัยโบราณ เชื่อกันว่าวันคลอดจะต้องติดภาพเพื่อให้คลอดปลอดภัยหรือที่เรียกว่า ‘ฉ่านถู’  (产图) การจัดวางที่นอนในห้องคลอด และการเตรียมเสื้อผ้าไว้สำหรับทารกแรกเกิดก็มีอิทธิพลสำคัญต่อการคลอดของมารดา ระหว่างการคลอดห้ามสตรีมีครรภ์ แม่หม้าย เด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน รวมถึงสามีเข้ามาในห้องคลอดเด็ดขาด

 

ท่าคลอดบุตร

—–ภาพหญิงตั้งครรภ์นอนอยู่บนเตียงพลางกรีดร้องอย่างเจ็บปวดขณะคลอดบุตรซึ่งมักปรากฏในละครจีนโบราณ คือภาพในความทรงจำของใครหลายคน ทว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ในอดีตผู้ทำคลอดคือ หมอตำแย (穩婆) การคลอดในสมัยโบราณแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ได้แก่ การคลอดแนวนอน คือท่านอนหงาย และการคลอดแนวตั้ง ซึ่งยังแยกย่อยเป็น การนั่งคลอด (坐著生) การยืนคลอด (站著生) การคุกเข่าคลอด (跪著生) การนั่งยองคลอด (蹲著生) ดังนั้นท่าคลอดในสมัยโบราณจึงมีความหลากหลายแล้วแต่จะเลือก แต่ส่วนใหญ่นิยมคลอดในแนวตั้ง

—–การนั่งคลอดต้องใช้ผู้ช่วยอย่างน้อยสองคน ห้องคลอดต้องสะอาด หากมีเก้าอี้นั่งคลอดก็นั่งบนเก้าอี้ได้เลย หากไม่มีให้นั่งบนพื้นที่ปูผ้าหรือรองด้วยฟางแห้ง เพราะคนจีนโบราณเชื่อว่าห้ามให้เลือดตกถึงพื้น ไม่เช่นนั้นภูติผีจะมาเอาชีวิตทารกไป ขณะคลอดหญิงตั้งครรภ์ต้องนั่งตัวตรง แต่เธออาจทนนั่งท่านี้นานๆ ไม่ไหว จึงใช้เชือกผูกไว้กับคาน แล้วปล่อยปลายเชือกลงมาให้หญิงตั้งครรภ์จับพยุงตัว ผู้ช่วยคนหนึ่งต้องคอยโอบเอวจากข้างหลังเธอไว้ไม่ให้ตัวเอียง ส่วนหมอตำแยก็รอรับทารกที่คลอดออกมา

—–การยืนคลอดจำเป็นต้องใช้ผู้ช่วยตั้งแต่สองคนขึ้นไปเช่นกัน เห็นได้จากประติมากรรมหินแกะสลักชุด พระคุณที่ทนทุกข์ขณะให้กำเนิด (臨產受苦恩) ที่จุดหินแกะสลักเป๋าติ่งซาน (寶頂山) ณ ผาหินแกะสลักต้าจู๋ (大足石刻) เมืองฉงชิ่ง (重慶) เป็นรูปหญิงคนหนึ่งยืนประคองอยู่ข้างหลังหญิงตั้งครรภ์ มีหมอตำแยนั่งยองอยู่ข้างหน้า ม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมรับทารก ประติมากรรมหินแกะสลักชุดนี้ถูกแกะสลักในสมัยจักรพรรดิฉุนซี (淳熙 ค.ศ. 1174-1189) แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ (南宋 ค.ศ.1127-1279) เป็นหลักฐานสำคัญในการศึกษาวิธีคลอดของหญิงตั้งครรภ์ในสมัยโบราณ

ประติมากรรมหินแกะสลักรูปหญิงยืนคลอด

 

—–การคลอดแนวตั้งเป็นการใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วง เด็กจึงคลอดง่ายขึ้น ช่วยลดภาวะการคลอดยาก หรือภาวะผิดปกติที่เกิดระหว่างกระบวนการทำคลอด เช่น ศีรษะทารกใหญ่แต่อุ้งเชิงกรานของมารดาแคบ ทำให้คลอดช้าหรือยากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่มารดาและทารก อีกทั้งการคลอดแนวตั้งยังช่วยให้ทำความสะอาดเลือดได้รวดเร็วเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อหลังคลอด โดยทั่วไปหมอตำแยมักทำคลอดด้วยท่านั่งคลอดก่อน หากไม่ราบรื่นก็จะเปลี่ยนเป็นท่ายืน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสรีระของหญิงที่จะคลอดเช่นกันว่าเหมาะสำหรับท่าไหนเพื่อให้คลอดทารกโดยง่ายและปลอดภัยที่สุด

—–ทว่าผู้หญิงยุคปัจจุบันกลับนิยมการนอนคลอด การนอนคลอดทำให้ศีรษะของทารกถูกกระดูกเชิงกรานของมารดาบีบอัด นอกจากนี้การนอนคลอดไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วง ระหว่างคลอดมารดาต้องออกแรงเบ่งมากขึ้น โดยธรรมชาติแล้วการนอนราบบนเตียงนั้นออกแรงไม่ได้มากนัก และการออกแรงเบ่งมากไปอาจกระทบถึงการไหลเวียนโลหิตระหว่างมดลูกกับรก ปริมาณโลหิตที่ไหลกลับไปสูบฉีดเลือดจึงลดลงจนนำไปสู่ภาวะทารกในครรภ์ขาดออกซิเจนได้ แต่ข้อดีของท่านี้คือสะดวกแก่การทำคลอด เนื่องจากผู้ทำคลอดเห็นกระบวนการคลอดได้อย่างชัดเจนและสะดวกต่อการผ่าตัด

 

หลังคลอดบุตร

—–เมื่อทารกอยู่ในครรภ์นั้นสายสะดือเป็นตัวเชื่อมระหว่างแม่กับทารก หลังจากคลอดต้องตัดสายสะดือทันที เชื่อกันว่าการตัดสายสะดือที่ดีควรใช้ปากกัด ตัดด้วยการลนไฟ หรือใช้กรรไกรเผาไฟตัด หลังจากตัดสะดือก็นำโกฐรมยารูปกรวย (艾炷) จุดไฟและรมยาจุดที่ตัดสะดือ เพื่อให้ความร้อนเข้าสู่ช่องท้อง ป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นนำยาโกฐจุฬาลัมพา (艾葉) ที่บดละเอียดทาบริเวณบาดแผลและปิดด้วยก้อนฝ้าย เพื่อกันความเย็นและความชื้นซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดโรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด (臍風) ได้ง่าย

 

การผ่าคลอด

—–สมัยโบราณการผ่าคลอดจะทำเพื่อรักษาชีวิตเด็ก หลังจากมารดาสิ้นลมหายใจผนังหน้าท้องและมดลูกจะถูกกรีดออกเพื่อนำทารกในครรภ์ออกมา แต่ทั้งนี้ก็มีทารกน้อยมากที่รอดชีวิต นอกจากนี้แม้จะมีบันทึกเกี่ยวกับการผ่าคลอดในพงศาวดารสื่อจี้《史記》ตอนชีวประวัติตระกูลฉู่ (楚世家) แต่ก็ไม่มีบันทึกถึงวิธีการฆ่าเชื้อก่อนผ่าตัดหรือวิธีผ่าคลอดอย่างชัดเจน จึงยากจะพิสูจน์ได้ว่าหญิงคลอดบุตรจะไม่เสียชีวิตจากการผ่าคลอด

—–ปี ค.ศ. 1892 การผ่าคลอดด้วยแพทย์แผนปัจจุบันในประเทศจีนประสบความสำเร็จครั้งแรกโดยนายแพทย์ชาวอเมริกันนามว่าจอห์น ไมเออส์ สวอน(John Myers Swan) ณ โรงพยาบาลป๋อจี้ (博濟) เมืองกว่างโจว (廣州) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแพทย์แผนตะวันตกแห่งแรก ก่อตั้งโดยคณะแพทย์มิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนต์ ต่อมา 13 สิงหาคม ค.ศ. 1892 หนังสือพิมพ์เซินเป้า 《申報》และหนังสือพิมพ์จื้อหลินฮู่เป้า 《字林滬報》ของเซี่ยงไฮ้ (上海) ได้ตีพิมพ์ข่าวการผ่าคลอดสำเร็จ คนไข้ผ่าคลอดคือหญิงใกล้คลอดที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมืองกว่างโจว เมื่อใกล้คลอดหมอตำแยเห็นว่าทารกไม่เคลื่อนตัวลงมาบริเวณกระดูกเชิงกรานและมารดาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หมอตำแยอับจนหนทางแก้ไข สามีเธอเห็นว่าควรพบแพทย์แผนตะวันตกจึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลป๋อจี้ และได้พบนายแพทย์สวอน เมื่อตรวจและวินิจฉัยจึงพบว่าทารกเคลื่อนตัวมาถึงปากช่องคลอดแล้ว เพียงแต่ศีรษะทารกใหญ่กว่าอุ้งเชิงกราน ทารกจึงไม่สามารถออกจากช่องคลอดได้ ต้องผ่าคลอดเท่านั้น หลังจากนายแพทย์สวอนฉีดยาชาแล้วก็ผ่าหน้าท้องนำทารกเพศหญิงสุขภาพดีออกมาและเย็บปิดปากแผล ไม่กี่วันต่อมาผู้เป็นมารดาก็ฟื้นตัวกลับบ้านได้

โรงพยาบาลป๋อจี้ปลายศตวรรษที่ 19

 


นายแพทย์ จอห์น ไมเออส์ สวอน

 

—–แม้การผ่าคลอดจะไม่ใช่ทางเลือกของคนสมัยโบราณ แต่ยังคงมีกรณีผ่าคลอดอีกไม่น้อยเนื่องจากเป็นวิธีการรับมือเมื่อมารดาอ่อนแรงจนไม่สามารถคลอดเองได้ ตำแหน่งของทารกไม่เหมาะสมที่จะคลอด แต่ท้ายที่สุดก็มักจบลงด้วยโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า แม้ทราบโดยทั่วกันว่าจุดจบของการผ่าคลอดจะเป็นเช่นไร แต่การผ่าคลอดก็ยังถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะอย่างน้อยหากมารดาเสียชีวิตก็อาจช่วยชีวิตทารกไว้ได้

—–อย่างไรก็ตามชาวจีนโบราณจะให้ความสำคัญกับการคลอดบุตรมาก เห็นได้จากวิธีปฏิบัติ ความเชื่อหรือข้อห้ามต่างๆ เกี่ยวกับการคลอด แม้ชาวจีนในอดีตจะมีความรู้มีภูมิปัญญาด้านการคลอด แต่บางกรณีก็อาจจะยากเกินไปที่จะคลอดตามธรรมชาติ ทำให้มารดาและทารกในอดีตต้องเสี่ยงชีวิต

 

เรื่องโดย จางฮุ่ยซิน