การพิสูจน์สาวพรหมจารีของจีนในสมัยโบราณ เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์ —–สังคมไทยยึดถือพรหมจารีเป็นเรื่องสำคัญ ผู้หญิงจึงต้องรักนวลสงวนตัว ห้ามมีเพศสัมพันธ์กับใครก่อนแต่งงาน ค่านิยมเรื่องพรหมจารีพบเจอได้ทั่วโลก ในประเทศจีนมีการพิสูจน์สาวพรหมจารีด้วยวิธีการอันหลากหลาย ส่วนใหญ่เพื่อถวายตัวสาวพรหมจารีแด่จักรพรรดิ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความเชื่อที่เคยฝังหัวก็ค่อยๆ จางลง มีบันทึกว่ามีการพิสูจน์สาวพรหมจารีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น (漢 202 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 220) รวมทั้งพูดถึงยาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และการตรวจร่างกายที่เปลือยเปล่า ภายหลังจึงเกิดการพิสูจน์สาวพรหมจารีด้วยวิธีใหม่ๆ ขึ้นมากมายในประวัติศาสตร์จีน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตรวจพิสูจน์โดยหมอตำแย —–ปลายสมัยราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) วรรณกรรม ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’《醒世恆言》เขียนโดย ‘เฝิงเมิ่งหลง’ (馮夢龍 ค.ศ. 1574-1646) บันทึกไว้ว่าหมอตำแยซึ่งโดยทั่วไปมีหน้าที่ทำคลอดจะเป็นผู้พิสูจน์สาวพรหมจารี แต่บางครั้งก็ให้ญาติผู้หญิงของฝ่ายชายหรือแม่สื่อช่วยพิสูจน์แทน ส่วนการตรวจร่างกายเปลือยมีบันทึกอยู่ใน หนังสือ ‘สารพันบันทึกลับ’《雜事秘辛》กล่าวถึงการตรวจร่างกายเปลือยของฮองเฮาเหลียงหนีว์อิ๋ง (梁女瑩 ปีเกิดไม่แน่ชัด-ค.ศ. 159) สมัยจักรพรรดิฮั่นเหิงตี้ (漢恆帝 ค.ศ. 132-168) —–การตรวจร่างกายเปลือยดังกล่าวต้องตรวจอะไรบ้าง ก่อนอื่นพิจารณาสรรพางค์หรือรูปโฉมโนมพรรณทั้งหมดว่าสมส่วนหรือไม่ กิริยาท่าทางสมเป็นกุลสตรีไหม แล้วตรวจอวัยวะต่างๆ บนใบหน้าว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ กล่าวคือ ดวงตาต้องสดใส (目波澄鮮) ขนคิ้วเรียงสวยและงอน (眉撫連卷) ริมฝีปากแดงฟันขาว (朱口皓齒) หูยาวจมูกโด่ง (修耳懸鼻) —–นอกจากนี้ ผู้ตรวจยังพิจารณาอวัยวะเพศและเต้านมอย่างละเอียด ดูเยื่อพรหมจารีว่ายังมีอยู่หรือไม่ สัมผัสผิวหนังว่าเนียนสะอาดไหม หญิงสาวผู้นั้นต้องมีเต้านมเต่งตึง อวัยวะเพศโหนกนูน เมื่อถ่างขาออก อวัยวะเพศจะต้องแดงฉ่ำ มีเสน่ห์ดูแล้วเกิดความกำหนัดในกาม ดูเลือดที่ออกจากการเสียสาว —–ผู้คนทั่วไปเชื่อว่าหากเป็นสาวบริสุทธิ์ เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกจะต้องมีเลือดซึมออกมาเนื่องจากเยื่อพรหมจารีฉีกขาด เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเจ้าสาวมีเลือดออก เช้าวันรุ่งขึ้นหลังแต่งงาน บ้านฝ่ายชายจะส่งคนไปแจ้งข่าวดีแก่บ้านฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงก็จะรู้สึกยินดีมีเกียรติอย่างยิ่ง —–ทว่าในยุคโบราณก็มีการลวงตาเจ้าบ่าวด้วยการเตรียมผ้าขาวที่เปื้อนเลือดจากหงอนไก่ ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน หลังเสร็จกิจผู้หญิงจะแอบนำผ้าเลอะเลือดออกมาเพื่อให้คนเข้าใจว่าตนเองเป็นสาวพรหมจารี นอกจากนี้ยังมีการใส่เลือดไก่ในกระเพาะปลา (ถุงลมปลา) เย็บปิดเข้าด้วยกัน แล้วสอดเข้าไปในอวัยวะเพศก่อนประกอบกามกิจ เมื่อเสร็จกิจก็จะมีเลือดไหลออกมา ดูสรีระ หางตา และการเปลี่ยนแปลงของสีผิว —–การสังเกตสรีระก็ช่วยให้ทราบว่าผู้หญิงคนนั้นมีประสบการณ์ทางเพศหรือไม่ โดยเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของสรีระก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ อีกจุดสังเกตหนึ่งคือบริเวณหางตา หากหางตาเป็นสีชมพูอมแดง แสดงว่าเพิ่งเสียความบริสุทธิ์ไป แต่หากคล้ำก็แสดงว่าเสียความบริสุทธิ์มานานแล้ว วิธีนี้ใช้ได้เฉพาะสาวน้อยหรือสาวรุ่น เนื่องจากสาวแก่หรือสาวใหญ่มักมีริ้วรอยหมองคล้ำตามธรรมชาติ ส่วนผู้หญิงที่ผิวขาวเนียน หลังจากมีเพศสัมพันธ์ผิวหน้าและผิวกายจะเป็นสีชมพูระเรื่อ เพราะเชื่อว่าสาวพรหมจารีเลือดลมสูบฉีดแรง ดูคิ้วและเต้านม —–จินเซิ่งท่าน (金聖嘆 ค.ศ. 1608-1661) นักเขียนและนักวิจารณ์วรรณกรรมปลายสมัยราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิงเคยเขียนว่า ‘ดูอก ดูคิ้ว สองสิ่งนี้สำคัญที่สุด เป็นการดูหญิงที่เพิ่งเสียสาว’ (看其胸,看其眉,此兩看毒極,正是看新破瓜女郎法也) กล่าวกันว่าขนคิ้วของสาวพรหมจารีนั้นเรียวราบเรียบ เต้านมเต่งตึงชูชัน ส่วนหญิงที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ขนคิ้วจะชูชันจากผิวหนัง เต้านมหย่อนยาน ความเชื่อนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในสังคมจีนสมัยก่อน ผงตุ๊กแกพิสูจน์ความบริสุทธิ์ —–คัมภีร์ ‘หย่างเซิงฟาง’ 《養生方》สมัยราชวงศ์ฮั่นที่ขุดค้นพบในสุสานหม่าหวังตุย (馬王堆漢墓) ณ เมืองฉางซา (長沙) ได้กล่าวถึงการพิสูจน์สาวพรหมจารีด้วย ‘โส่วกงซา’ (守宮砂) หรือ ‘ผงตุ๊กแก’ อันที่จริงคำว่า ‘โส่วกง’ (守宮) หมายถึง องครักษ์ปกป้องพระราชวัง คนจีนนำมาเรียกแทนตุ๊กแกเนื่องจากท่าทางของตุ๊กแกดูตื่นตัวตลอดเวลาเหมือนองครักษ์ ส่วนคำว่า ‘ซา’ หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะเหมือนทรายหรือเป็นผง บางส่วนของคัมภีร์ ‘หย่างเซิงฟาง’ —–สอดคล้องกับบันทึก ‘โป๋อู้จื้อ’《博物誌》ของจางหัว (張華 ค.ศ. 232-300) ที่กล่าวถึงวิธีการว่า ขังตุ๊กแกไว้ในไห แล้วใส่แร่ซินนาบาร์ (Cinnabar) สีแดงเข้มให้ตุ๊กแกกิน ตุ๊กแกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เมื่อตุ๊กแกตาย ตากแดดให้แห้งแล้วบดเป็นผง เวลาใช้ให้ทาที่แขนหรืออวัยวะส่วนอื่นๆ ของหญิงสาว เมื่อสาวพรหมจารีมีเพศสัมพันธ์ ผงตุ๊กแกสีแดงจะเลือนหายไป —–ตุ๊กแกที่นำมาใช้จะต้องเป็นตัวเมียในวัยเจริญพันธุ์ เพราะเชื่อว่ามีฮอร์โมนเพศเมียเต็มที่ เมื่อทาผงตุ๊กแกที่แขนผู้หญิง แล้วหญิงคนนั้นไปมีสัมพันธ์กับผู้ชาย ฮอร์โมนเพศเมียในผงตุ๊กแกจะสลายไปทันที ส่งผลให้ผงตุ๊กแกสีแดงสลายไป กล่าวกันว่าในวังหลวงนิยมใช้วิธีนี้ โดยตงฟางซั่ว (東方朔 ราว 161-93 ก่อนคริสต์ศักราช) ขุนนางสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกเป็นผู้เสนอจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (漢武帝 156-87 ก่อนคริสต์ศักราช) ให้ใช้ผงตุ๊กแกในวังหลวง นอกจากนี้วิธีนี้เคยปรากฏในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก ประพันธ์โดยกิมย้ง (金庸 ค.ศ. 1924-2018) ซึ่งเซียวเหล่งนึ่ง (小龍女) ตัวเอกของเรื่องเคยถูกทดสอบด้วยผงตุ๊กแกมาแล้ว —–ภายหลังหลี่สือเจิน (李時珍 ค.ศ. 1518-1593) หมอสมุนไพรจีนในยุคราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) ทดลองใช้ผงตุ๊กแกหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะบันทึกในตำราเภสัชวิทยา ‘เปิ๋นเฉ่ากังมู่’ 《本草綱目》ว่าการใช้ผงตุ๊กแกทดสอบสาวพรหมจารีเชื่อถือไม่ได้ หยดเลือดตรวจพิสูจน์ —–คนจีนโบราณมีความเชื่อว่า หากหยดเลือดของสาวพรหมจารีลงในน้ำ เลือดจะจับตัวเหมือนไข่มุก และไม่กระจายตัวในน้ำ ดูลมที่พุ่งออกมา —–วิธีนี้จะให้หญิงสาวยืนเปลือยหน้ากะละมังไฟ (กะละมังที่ใส่ถ่านติดไฟ ในอดีตใช้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในฤดูหนาว) ผู้ตรวจสอบเป่าควันจากกระดาษติดไฟใส่หน้า เมื่อหญิงสาวจาม จะมีลมถูกขับออกทางช่องคลอด หากลมพัดเอาขี้เถ้าในกะละมังไฟฟุ้งขึ้นมา แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นมิใช่สาวบริสุทธิ์ แต่หากมีเพียงลมอ่อนๆ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ —–อย่างไรก็ตาม วิธีพิสูจน์สาวพรหมจารีของจีนที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น หลายประเด็นวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ยืนยันแล้วว่าไม่เป็นความจริง แม้ว่าค่านิยมเรื่องสาวพรหมจารีจะยังมีอยู่ แต่วิธีการในอดีตค่อยๆ หายไป กระทั่งถึงทุกวันนี้ การพิสูจน์สาวพรหมจารีก็แทบจะไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป