格局 gé jú คืออะไร

 

格局 gé jú เป็นคำนาม ใช้กันหลากหลายและสื่อความหมายต่างกัน ซึ่งสร้างความคลุมเครือแก่ชาวต่างชาติที่ศึกษาภาษาจีนอย่างยิ่ง

พจนานุกรมฉือไห่  (辞海; 1979: 2970) ระบุคำอธิบายของ格局ว่า “รูปแบบ, รูปทรง (式样 shìyàng), โครงสร้างโดยรวม, ขอบเขตโดยรวม (规模 guīmó) หนึ่งในตัวอย่างประโยคได้แก่

鲁镇的酒店的格局,是和别处不同的。
Lǔ zhèn de jiǔdiàn de géjú, shì hé biéchù bùtóng de.
รูปแบบและขนาดของโรงแรมในเมืองหลู่ แตกต่างไปจากที่อื่น

ส่วนคำอธิบายของ “พจนานุกรมภาษาจีนยุคปัจจุบัน”《现代汉语词典》ฉบับที่ 7 หน้าที่ 440 ระบุความอธิบายว่า “格局gé jú หมายถึง เค้าโครง โครงสร้าง รูปแบบ แบบแผน (结构和格式jié gòu hé gé shì)”

 

ตัวอย่างประโยค

  1. 这篇文章写的很乱,简直没个格局
    Zhè piān wén zhāng xiě de hěn luàn, jiǎn zhí méi gè gé jú.
    ความเรียงบทนี้เขียนวกวนมาก เรียกได้ว่าไม่มีแบบแผนเลย
    ⮕ 格局 ในที่นี้ใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับ ‘การเรียบเรียงเพื่อให้มีลำดับความที่ชัดเจน’
  2. 经济迅速发展,不断打破旧格局,形成新格局
    Jīng jì xùn sù fā zhǎn, bú duàn dǎ pò jiù gé jú, xíng chéng xīn gé jú.
    เศรษฐกิจพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำลายโครงสร้างเก่าอย่างต่อเนื่อง และสร้างโครงสร้างใหม่ขึ้น
    ⮕ 格局 ในที่นี้ใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับ ‘แบบแผนที่กำหนดหรือก่อตัวขึ้นเป็นหลักหรือเป็นแนว’

มาดูตัวอย่างประโยคเพิ่มเติมที่คัดจากเอกสารรายงานการปฏิบัติงานประจำ ค.ศ.2021 ของรัฐบาลจีนข้างล่างนี้

  1. 立足新发展阶段,贯彻新发展理念,构建新发展格局
    Lì zú xīn fā zhǎn jiē duàn, guàn chè xīn fā zhǎn lǐ niàn, gòu jiàn xīn fā zhǎn gé jú.
    ตั้งหลักบนเส้นทางพัฒนาแบบใหม่ ปฏิบัติตามแนวคิดพัฒนาแบบใหม่ และสร้างเค้าโครงการพัฒนาแบบใหม่

 

 

นอกจากนี้ ยังพบว่า 格局 ในประโยคข้างต้นได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษถึง 2 คำ ได้แก่ ‘pattern’ หมายถึง รูปแบบ และ ‘paradigm’ หมายถึง กระบวนทัศน์ ซึ่งบ่งบอกว่า 格局 ในบริบทนี้สื่อความหมายได้กว้างกว่า ‘เค้าโครงโครงสร้างและรูปแบบ’ (ตามที่อธิบายไว้ในพจนานุกรมฯ) โดยอาจหมายรวมถึง ‘กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิธีคิด วิธีปฏิบัติ แนวการดำเนินชีวิตและการพัฒนาชีวิตและสังคม’ จึงมีการตีความและนำคำว่า 格局 มาใช้ในอีกแนวทางหนึ่ง ว่าหมายถึง จิตใจ (ที่มีหน้าที่รู้และคิด) มุมมอง วิธีคิด วิสัยทัศน์ และนิสัยใจคอของปัจเจกบุคคล (指一个人的胸怀、视野和气度。Zhǐ yí gè rén de xiōng huái, shì yě hé qì dù.)

 

  • การขยายความคำว่า 格局

เมื่อ 格局 สื่อความหมายกลางๆ ไม่ลบ ไม่บวก ดังนั้นการขยายด้วยคำคุณศัพท์จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรับรู้และความเข้าใจของผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เพื่อที่ผู้แปลจะได้เห็นความหมายที่สอดคล้องกับบริบทที่แวดล้อมอยู่ และแปลความหมายได้อย่างถูกต้อง

ในกรณีขยายความหมายดังกล่าวด้วยคำคุณศัพท์ 大 (dà ใหญ่) ได้แก่ 格局大 gé jú dà หรือ 大格局 dà gé jú จะสื่อความหมายในทำนองบอกลักษณะความคิดและจิตใจของปัจเจกบุคคลว่า ‘คิดใหญ่ มองภาพรวมออก และมีจิตใจกว้างขวาง’ ใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ ‘Big Picture Thinking’ เช่น

  1. 格局大的人胸怀宽广、视野开阔、为人大气。
    Gé jú dà de rén xiōng huái kuān guǎng, shì yě kāi kuò, wéi rén dà qì.
    คนที่มีทักษะความคิดแบบมองภาพใหญ่ จิตใจจะกว้างขวาง วิสัยทัศน์กว้างไกล เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีใจนักเลง
  1. 大格局的人,遇难不回避,心思不繁琐,气度不狂妄,做人不纠缠。
    Dà gé jú de rén, yù nán bù huí bì, xīn sī bù fán suǒ, qì dù bù kuáng wàng, zuò rén bù jiū chán
    คนที่มีวิธีคิดแบบมองภาพใหญ่ เมื่อพบอุปสรรคจะไม่หลบหนี ความคิดไม่หยุมหยิม วางตัวไม่เย่อหยิ่ง และทำงานไม่จู้จี้จุกจิก

 

 

ตรงกันข้าม ในกรณีขยายความหมายด้วยคำคุณศัพท์ 小 (xiǎo เล็ก) ได้แก่ 格局小 gé jú xiǎo หรือ 小格局 xiǎo gé jú ก็จะสื่อความหมายในทางตรงกันข้ามกับตัวอย่างที่ 1 และ 2 ซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกับภาษาไทยว่า  ‘มุมมองความคิดคับแคบหรือจิตใจคับแคบ’

  1. 格局小的人心胸狭窄、锱铢必较,眼界不高。
    Gé jú xiǎo de rén xīn xiōng xiá zhǎi, zī zhū bì jiào, yǎn jiè bù gāo.
    คนที่วิธีคิด (กระบวนทัศน์) คับแคบจะใจไม่กว้าง ถือสากับผลประโยชน์เล็กน้อย และไม่มีวิสัยทัศน์
  2. 小格局的人,目光短浅,过于自卑,爱搬弄是非,千万不可深交。
    Xiǎo gé jú de rén, mù guāng duǎn qiǎn, guò yú zì bēi, ài bān nòng shì fēi, qiān wàn bù kě shēn jiāo.
    คนที่กระบวนทัศน์คับแคบ มุมมองจะตื้นเขิน มักรู้สึกมีปมด้อย ชอบติฉินนินทา คบหาลึกซึ้งไม่ได้เด็ดขาด

 

นอกจากนี้ ยังมีการใช้แบบขยายด้วยคำว่า 有(yǒu มี)หรือ 没有(méi yǒu ไม่มี)ได้แก่有格局yǒu gé jú หรือ 没有格局méi yǒu gé jú ซึ่ง 格局ในที่นี้สื่อความหมายว่า ‘กระบวนทัศน์’

  1. 一个人有没有格局,所看到的世界是不一样的。
    Yí gè rén yǒu méi yǒu gé jú, suǒ kàn dào de shì jiè shì bù yí yàng de.
    คนเรามีหรือไม่มีกระบวนทัศน์โลกที่มองเห็นจะแตกต่างกัน
  2. 有格局的人能看到自己的不足,没有格局的人只会更自大。
    Yǒu gé jú de rén, néng kàn dào zì jǐ de bù zú, méi yǒu gé jú de rén zhǐ huì gèng zì dà.
    คนที่มีกระบวนทัศน์สามารถมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองได้ ส่วนคนที่ไม่มีกระบวนทัศน์มีแต่จะยิ่งจองหอง

 

อย่างไรก็ตาม นอกจาก 格局 จะแปลได้หลายความหมายตามบริบทที่แตกต่างแล้ว ยังมีบางกระแสศึกษาถึงที่มาของคำนี้ ว่า 格局 เกี่ยวกับการเล่นหมากล้อม เนื่องจาก 格 เป็นชื่อเรียกของตาราง หรือช่องสี่เหลี่ยมที่เกิดจากเส้นขนานในแนวตั้งกับแนวนอนตัดกันบนกระดานหมากล้อม จุดที่ตัดกันเรียกว่าจุดลมปราณ ส่วนคำว่า 局 ในที่นี้หมายถึง สถานการณ์การสู้รบ (บนกระดานหมากล้อม) ที่สร้างขึ้นโดยเม็ดหมากของผู้ต่อสู้ทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อประสมกันเป็นคำว่า 格局 จึงบ่งบอกลักษณะการใช้กลยุทธ์ ความเป็นแบบแผน การกำหนดรูปแบบ เพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายหรือความสำเร็จที่ได้ตั้งไว้

 

 


สนทนาพาที (常用口语)


 

一个劲儿()

…yí gè jìn ér…(de)

…(ตั้งหน้าตั้งตา)…ไม่ยอมหยุด

คำอธิบาย

โครงสร้างประโยค ‘…一个劲儿…’ จะอยู่ในรูป ‘…一个劲儿 + 地 + คำกริยา’ ใช้บรรยายการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน เช่น 1. คุณเหนื่อยหรือเปล่าเนี่ย? (ตั้งหน้าตั้งตา) บ่นไม่ยอมหยุด!  2. เขา (ตั้งหน้าตั้งตา) วิ่งไม่ยอมหยุด ขนาดรองเท้าหลุดก็ยังไม่รู้

 

ตัวอย่างประโยค

  1. 你累不累呀?一个劲儿地唠叨!
    Nǐ lèi bú lèi ya?Yí gè jìn ér de láo dāo!
    คุณเหนื่อยหรือเปล่าเนี่ย? (ตั้งหน้าตั้งตา) บ่นไม่ยอมหยุดเลย!
  2. 一个劲儿地跑,连鞋子掉了也不知道。
    yí gè jìn ér de pǎo,lián xié zǐ diào le yě bù zhī dào.
    เขา (ตั้งหน้าตั้งตา) วิ่งไม่ยอมหยุด ขนาดรองเท้าหลุดก็ยังไม่รู้เลย
  3. 一个劲儿地写啊写,一晚上就把假期作业全做完了。
    yí gè jìn ér de xiě a xiě,yī wǎn shàng jiù bǎ jiǎ qī zuò yè quán zuò wán le.
    ฉัน (ตั้งหน้าตั้งตา) เขียนไม่ยอมหยุด ภายในคืนเดียวก็ทำการบ้านปิดเทอมจนเสร็จทั้งหมด

ตัวอย่างบทสนทนา

(ในโรงภาพยนตร์…)

A:         你看那人说话那么大声,真烦人!
Nǐ kàn nà rén shuō huà nà me dà shēng,zhēn fán rén!
คุณดูคนคนนั้นสิ พูดจาเสียงดังขนาดนั้น สร้างความรำคาญให้คนอื่นจริงๆ !

B:         真是的,一个劲儿地说,完全不顾旁人的感受。
Zhēn shì de,yí gè jìn ér de shuō,wán quán bú gù páng rén de gǎn shòu.
จริงด้วย (ตั้งหน้าตั้งตา) พล่ามไม่ยอมหยุด ไม่สนใจความรู้สึกคนรอบข้างเลย

A:         就是,还不时起起落落的。
Jiù shì,hái bù shí qǐ qǐ luò luò de.
นั่นสิ ยังลุกๆ นั่งๆ ตลอดเวลาด้วย

B:         一个劲儿地捣乱,电影里说啥都听不明白了。
Yī gè jìn ér de diǎo luàn,diàn yǐng lǐ shuō shá dōu tīng bù míng bái le.
ก่อกวนไม่ยอมหยุด ในหนังพูดอะไรบ้างก็ฟังไม่รู้เรื่องเลย