—–ในยุคที่ยังไม่มีการถ่ายภาพ ผู้คนอาศัยการวาดภาพคน เหตุการณ์ และสถานที่ต่างๆ มีการประดิษฐ์อุปกรณ์มากมายเพื่อช่วยให้วาดภาพได้สะดวกขึ้น ถึงกระนั้นการวาดภาพก็ยังมีข้อจำกัด ตรงที่ไม่อาจผลิตภาพได้อย่างรวดเร็วสมจริง และผลิตซ้ำได้อีกเป็นจำนวนมาก นั่นจึงเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์คิดหาวิธีบันทึกภาพโดยใช้การถ่ายภาพด้วยการสะท้อนของแสง
—–ผู้บุกเบิกการบันทึกภาพด้วยแสงคือ นีเซฟอร์ นีเยปซ์ (Nicéphore Niépce) นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส การทดลองที่ทำให้เขามีชื่อเสียงกระฉ่อนได้แก่การถ่ายภาพแบบฮีลิโอกราฟในช่วง ค.ศ 1826-1827 เขาใช้กล้องถ่ายภาพที่มองเห็นจากหน้าต่างห้องทำงานของเขาลงบนแผ่นโลหะผสมดีบุกกับตะกั่ว ภาพดังกล่าวนับว่าเป็นภาพถ่ายภาพแรกของโลก
—–ต่อมาใน ค.ศ. 1829 นีเยปซ์ได้ร่วมงานกับ หลุยส์ ดาแกร์ (Louis Daguerre) นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศสเช่นกัน เพื่อพัฒนาเทคนิคการถ่ายภาพและฮีลิโอกราฟ จนกระทั่งนีเยปซ์เสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 1833 ดาแกร์ก็ยังคงทำการทดลองต่อไปจนค้นพบว่า การใช้แผ่นทองแดงฉาบด้วยเงินไอโอไดด์ในกล้องถ่ายรูปได้รับแสงจะทำให้ได้ภาพที่คงทนถาวร หากนำภาพแฝงในแผ่นทองแดงฉาบเงินไอโอไดด์นั้นไปผ่านกรรมวิธีล้างและอัดภาพ
—–การสร้างภาพถ่ายตามวิธีการนี้มีขึ้นหลังจากนีเยปซ์เสียชีวิตแล้ว กระบวนการดังกล่าวจึงเรียกว่า ‘ดาแกร์โรไทป์’ (Daguerreotype) ตามชื่อของดาแกร์ และรัฐบาลฝรั่งเศสก็ซื้อสิทธิบัตรจากดาแกร์เพื่อเผยแพร่แก่ทั่วโลกเป็นวิทยาทาน
—–ถ้าเช่นนั้นภาพถ่ายภาพแรกของประเทศจีนเกิดขึ้นเมื่อไร? โดยใคร? ในแวดวงวิชาการยอมรับว่า ชูล อีตีเย (Jules Itier ค.ศ. 1802-1877) คือช่างภาพคนแรกที่ถ่ายภาพประเทศจีน เขาเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรชาวฝรั่งเศส เดินทางไปจีนในฐานะตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศส เพื่อเจรจาทำสัญญาการค้าระหว่างฝรั่งเศสกับจีน อีตีเยชอบถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก จึงขนอุปกรณ์การถ่ายภาพแบบดาแกโรไทป์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปด้วย
ภาพท่าเรือมาเก๊า (ตุลาคม ค.ศ. 1844)
—–คณะตัวแทนเจรจาออกเดินทางด้วยเรือรบเมื่อ ค.ศ. 1843 เป็นเวลาหลายเดือนกระทั่งกันยายน ค.ศ. 1844 เรือรบก็เทียบท่าขึ้นฝั่งที่มาเก๊า อันเป็นสถานที่ซึ่งชาวต่างชาติคุ้นเคยดี อีตีเยบันทึกไว้ว่า “พวกเรามาถึงมาเก๊าช่วงเที่ยงวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1844 มีป้อมปราการจำนวนมากคอยระวังภัย บ้านเรือนดูแปลกตาบนคาบสมุทร” อีตีเยทดลองถ่ายภาพชาวบ้านที่มาเก๊า แต่ก่อนถ่ายชาวบ้านขอดูระบบภายในกล้องถ่ายภาพ ทุกคนล้วนตกตะลึงส่งเสียงกันเซ็งแซ่
ทะเลมาเก๊า (ตุลาคม ค.ศ. 1844)
ชาวบ้านริมถนนที่ยินยอมให้ถ่ายภาพ (ค.ศ. 1844)
ประตูทางเข้าศาลเจ้าแม่มาจู่ (澳门妈阁庙) มาเก๊า (พฤศจิกายน ค.ศ. 1844)
ศาลเจ้าแม่มาจู่ (พฤศจิกายน ค.ศ. 1844)
—–ช่วงที่อีตีเยพำนักบนแผ่นดินจีนนั้น ราชสำนักชิงทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษและอเมริกาไปแล้ว หลังจากเจรจากันนานร่วมเดือน ราชสำนักชิงกับฝรั่งเศสก็ตกลงทำ ‘สนธิสัญญาหวงผู่’ (黄埔条约) โดยมีการถ่ายภาพขุนนางของสองฝ่ายบนเรือของฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ ฉีอิง (耆英 ค.ศ. 1787-1858) ขุนนางราชสำนักชิง ฉีอิงจึงเป็นคนจีนคนแรกๆ ที่ถูกถ่ายภาพ ในยุคนั้นคนที่ถูกถ่ายภาพต้องอยู่นิ่งเป็นเวลา 5-20 วินาที ประกอบกับบนเรือที่น่าจะโคลงเคลง จึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ภาพนี้ถ่ายได้ค่อนข้างชัด
ขุนนางฝรั่งเศสและจีนถ่ายภาพร่วมกัน (24 ตุลาคม ค.ศ. 1844)
ภาพขยายใบหน้าฉีอิง
—–หลังจากทำสนธิสัญญาได้ราว 1 สัปดาห์ คณะของอีตีเยก็แล่นเรือขึ้นไปยังเมืองกว่างโจว (广州) เขาบันทึกว่า “ก่อนขึ้นฝั่งเจอเรือลำน้อยใหญ่มากมาย ตามถนนหนทางและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านค้า” เขาได้บันทึกรายละเอียดทุกอย่าง ตั้งแต่เวลาออกเดินทาง วันและเวลาถ่ายภาพ รายละเอียดในภาพ รวมทั้งปัญหาที่เจอ ครั้งหนึ่งอีตีเยขึ้นไปบนดาดฟ้าหอการค้าอเมริกัน ถ่ายภาพเมืองกว่างโจวโดยรอบ
ภาพมุมสูงเมืองกว่างโจวจากหอการค้าอเมริกัน (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1844)
ขุนนางราชสำนักชิง ณ เมืองกว่างโจว (21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1844)
—–ระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศจีน อีตีเย และกล้องถ่ายภาพของเขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คน วันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1944 อีตีเย ได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมชมสวนดอกไม้เอกชนซึ่งสวยงามที่สุดของเมืองกว่างโจวในยุคนั้น เจ้าของชื่อพันซื่อเฉิง (潘仕成) เป็นมหาเศรษฐีแห่งกว่างโจว ในขณะถ่ายภาพ คนทั้งบ้านพากันมุงดูและแย่งกันให้เขาถ่ายภาพ
บ้านในสวนของพันซื่อเฉิง (พฤศจิกายน ค.ศ. 1844)
คนที่บ้านของพันซื่อเฉิง (พฤศจิกายน ค.ศ. 1844)
—–อีตีเยมอบภาพถ่ายบางภาพให้แก่เจ้าของภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะมีภาพเดียวในโลก เนื่องจากการถ่ายภาพแบบดาแกโรไทป์อัดซ้ำไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่ภาพเหล่านั้นปัจจุบันไม่มีหลงเหลืออยู่ที่จีนเลย
—–อีตีเยกลับถึงฝรั่งเศสพร้อมกับภาพถ่ายประเทศจีนจำนวน 37 ภาพ เขาพิมพ์หนังสือการเดินทางในประเทศจีน มีภาพถ่ายและคำอธิบาย ถือเป็นการเผยแพร่ภาพถ่ายประเทศจีนให้แก่ชาวตะวันตกเป็นครั้งแรก อีตีเยลาโลกนี้เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1877 เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่ง ค.ศ. 1968 ลูกหลานของเขาแบ่งสมบัติกัน สมบัติส่วนหนึ่งประกอบด้วยภาพถ่าย เอกสาร และบันทึกประจำวัน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตระหนักถึงความสำคัญของเอกสารเหล่านี้ ครั้นถึง ค.ศ. 1971 เมื่อผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายของฝรั่งเศสทราบข่าว จึงติดต่อขอซื้อภาพถ่ายทั้ง 37 ภาพและบันทึกของอีตีเย ปัจจุบันภาพถ่ายเหล่านี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายของฝรั่งเศส แต่ด้วยเทคนิคการถ่ายภาพในยุคแรกยังล้าหลัง สีของภาพหลายภาพจึงจืดจางไปตามกาลเวลา
ชูล อีตีเย (Jules Itier ค.ศ. 1802-1877)
—–ผลงานของ ชูล อีตีเย ทำให้เราทราบว่าเขามีความรู้ความเข้าใจเทคนิคการถ่ายภาพเป็นอย่างดี เนื่องจากเทคนิคการถ่ายภาพแบบดาแกโรไทป์มีเงื่อนไขและข้อจำกัดหลายประการ เช่น ความยากลำบากในการขนย้ายอุปกรณ์ถ่ายภาพ ต้องเปิดรูรับแสงเป็นเวลานาน ต้องใช้สารเคมีหลายชนิด ฯลฯ ประกอบกับนิสัยชอบจดบันทึก ทำให้ผลงานภาพถ่ายและบันทึกของเขายังคงมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง
เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์