“เติ้งสุย”
หงส์เหนือมังกรแห่งฮั่นตะวันออก
เรื่องโดย เดชาวัต เนตยกุล

“(เติ้งฮองเฮา) ตักเตือนพระญาติ”《戒飭宗族》จากภาพชุด ฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรมในแต่ละราชวงศ์《歷朝賢后故事圖》 วาดโดยเจียวปิ่งเจิน (焦秉贞) สมัยราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616–1912)
——แม้ว่าในสังคมจีนโบราณจะมีสำนวนกล่าวว่า “ถ้าไก่ตัวเมียขันตอนย่ำรุ่ง บ้านเรือนจักมีเรื่องวุ่นวาย” (牝雞司晨,惟家之索) ซึ่งมีความหมายเชิงอุปมาว่า “ถ้าผู้หญิงขึ้นเป็นใหญ่ บ้านเมืองจักระส่ำระสาย” ทว่าในประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่ยุคบรรพกาลเป็นต้นมา ก็ปรากฏสตรีมากหน้าหลายตาที่กุมอำนาจ สร้างชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นได้ไม่แพ้บุรุษ
——ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (東漢 ค.ศ. 25–220) มีพระพันปีหลวงเสด็จออกว่าราชการแทนโอรสสวรรค์ถึง 6 พระองค์ องค์ที่ครองแผ่นดินจีนยาวนานถึง 16 ปี และมีคุณูปการจนได้รับคำสรรเสริญจากนักประวัติศาสตร์ว่าเป็น “ยอดจักรพรรดินี” (皇后之冠) ก็คือ “เติ้งสุย” (鄧綏 ค.ศ. 81–121) หรือ “เหอซีฮองเฮา” (和熹皇后) พระอัครมเหสีองค์ที่สองในจักรพรรดิฮั่นเหอตี้ (漢和帝 ค.ศ. 79–106)
-
ดรุณีผู้ใฝ่รู้
——“เติ้งสุย” เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล “เติ้งอี่ว์” (鄧禹 ราว ค.ศ. 2–58) ผู้เป็นปู่ เป็นขุนนางที่ร่วมสถาปนาราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีบรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาเป็น “โหวแห่งแคว้นเกามี่” (高密侯) บิดานาม “เติ้งซวิ่น” (鄧訓 ค.ศ. 40–92) มีตำแหน่งนายกองพิทักษ์เผ่าอูหวน (護烏桓校尉) เคยประกอบความดีความชอบให้แก่แผ่นดิน มารดาสกุลอิน (陰氏) เป็นหลานสาวของอินลี่หัว (陰麗華 ค.ศ. 5–64) จักรพรรดินีต้นราชวงศ์ ด้วยฐานะทางสังคมเช่นนี้ นางจึงมีโอกาสด้านการศึกษามากกว่าสตรีในสมัยเดียวกัน นางรักการเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุได้ 12 ปีก็มีความรู้แตกฉานด้านกวีนิพนธ์ในคัมภีร์ซือจิง《詩經》และปรัชญาสำนักขงจื่อ (孔子) อย่างคัมภีร์หลุนอวี่《論語》หากมีข้อสงสัยก็มักเก็บไปซักไซ้ไต่ถามบิดาเสมอ ทว่าค่านิยมของผู้หญิงจีนสมัยโบราณให้ความสำคัญแก่งานบ้านงานเรือนเป็นหลัก นางจึงถูกมารดาว่ากล่าวอยู่หลายครั้ง ลงท้ายเลยต้องทำงานเย็บปักในเวลากลางวัน และอ่านตำราในเวลากลางคืนแทน
-
วิถีสู่บัลลังก์จักรพรรดินี
——รัชศกหย่งหยวน (永元) ปีที่ 7 (ค.ศ. 95) หลังจากบิดาสิ้นใจได้สามปี เติ้งสุยได้รับคัดเลือกให้เข้าวัง ระหว่างที่เป็นนางในนั้น “ปานเจา” (班昭 ราวค.ศ. 49–120)[1] บัณฑิตหญิงกำลังแต่งตำราประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น《漢書》อยู่ในหอพระสมุดพอดี นางจึงได้เรียนรู้ศิลปวิทยาจากปานเจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ และวิชาคำนวณ
——บันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นยุคหลัง《後漢書》ได้บรรยายถึงเติ้งสุยว่า “งามเฉิดฉาย ยิ่งกว่าหญิงใด คนรอบข้างต่างก็ตะลึงลาน” (姿顏姝麗,絕異於眾,左右皆驚) ด้วยรูปโฉมโนมพรรณและจริยวัตรอันงามสง่า หนึ่งปีให้หลัง พระนางจึงได้รับการสถาปนาเป็นพระอัครชายา (มเหสีรอง) ตำแหน่ง “กุ้ยเหริน” (貴人)[2]
——ระหว่างดำรงตำแหน่งกุ้ยเหริน พระนางก็ทรงวางตัวตามฐานานุรูป แม้จะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าฮั่นเหอตี้ แต่ฉลองพระองค์ของพระนางกลับดูเรียบๆ ทรงมีเมตตาจิตต่อข้าทาสบริวาร ทว่าฮั่นเหอตี้และบรรดาข้าทาสบริวารยิ่งชมชอบพระนางมากเท่าไร อินฮองเฮา (陰皇后 ไม่ทราบปีเกิด–ค.ศ. 103) ก็ยิ่งริษยาพระนางมากเท่านั้น
——หากพิจารณาตามพงศาวลี (แผนลำดับเครือญาติ) เติ้งกุ้ยเหรินมีศักดิ์เป็นพระปิตุจฉา (อาหญิง) ของอินฮองเฮา ทว่าพระนางให้ความสำคัญแก่ฐานันดรมากกว่า จึงนอบน้อมอินฮองเฮาเสมอมา ขณะที่ยืนคู่กัน ก็ค้อมกายเป็นเชิงแสดงความเคารพ ฮองเฮาทรงฉลองพระองค์สีใด เติ้งกุ้ยเหรินก็เลี่ยงสีนั้น หรือแม้แต่ตอนที่ฮั่นเหอตี้สิ้นเสน่หาฮองเฮา เติ้งกุ้ยเหรินก็แสร้งประชวรเพื่อที่ฮั่นเหอตี้จะได้ไม่มาหาตน ทว่าอินฮองเฮาหาได้จดจำความดีเหล่านี้ ความอิจฉาที่อินฮองเฮามีต่อเติ้งกุ้ยเหรินค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นจนผูกใจเจ็บคิดปองร้ายหมายเอาชีวิต และใช้วิชามารสารพัดเพื่อสาปแช่งเติ้งกุ้ยเหริน
——รัชศกหย่งหยวนปีที่ 14 (ค.ศ. 102) อินฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งด้วยข้อหาทำคุณไสย และถูกกักบริเวณอยู่ในพระตำหนักถงกง (桐宮) จนสิ้นพระชนม์ ในปีเดียวกันพระเจ้าฮั่นเหอตี้ได้สถาปนากุ้ยเหรินสกุลเติ้งเป็นฮองเฮาแทน เติ้งกุ้ยเหรินไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้อีกต่อไป จึงยอมรับตำแหน่งหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ และกลายเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดินฮั่นตะวันออกในที่สุด
——“เติ้งฮองเฮา” ทรงไว้ซึ่งความสุขุมรอบคอบ ทั้งยังอยู่งานและดูแลฝ่ายในอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทว่าชะตามิได้กำหนดให้พระนางเป็นเพียงแค่อัครมเหสี เพราะในรัชศกหยวนซิง (元興) ปีที่ 1 (ค.ศ. 105) เมื่อพระเจ้าฮั่นเหอตี้สวรรคตด้วยพระอาการประชวร “เติ้งฮองเฮา” ก็ได้เลื่อนฐานะเป็น “ไทเฮา” (太后 พระพันปีหลวง) โดยปริยาย หลิวเซิ่ง (劉勝 ไม่ทราบปีเกิด–ค.ศ. 113) พระโอรสองค์ใหญ่ในพระเจ้าฮั่นเหอตี้ มีพระวรกายอ่อนแอตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ไม่เหมาะที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขแห่งแผ่นดิน เติ้งไทเฮาจึงรับพระโอรสหลิวหลง (劉隆 ค.ศ. 105–106 พระสมัญญา: พระเจ้าฮั่นซางตี้ 漢殤帝) [3] ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 100 วันกลับมาจากนอกวัง และสถาปนาเป็นจักรพรรดิ ส่วนพระนางออกว่าราชการในฐานะ “ประมุขหญิง” (女君)
-
พญาหงส์ผู้อยู่เหนือมังกร
“ฟื้นฟูอาณาจักร สืบสานยุคสมัย” (興滅國,繼絕世。)
——อัญพจน์ข้างต้นเป็นถ้อยคำที่คนรุ่นหลังสดุดีพระนาง เพราะพระนางเป็นผู้คืนความสงบสุขให้แก่แผ่นดินฮั่น ทว่าในช่วงเวลานั้น พระนางต้องผจญอุปสรรคทั้งศึกในและศึกนอก รวมถึงภัยพิบัติอันยากแก่การรับมือที่ยืดเยื้อมากว่าทศวรรษ
——รัชศกเหยียนผิง (延平) ปีที่ 1 (ค.ศ. 106) อุกกาบาต 4 ลูกพุ่งตกบนแผ่นดินจีน จากนั้นก็เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ (ซึ่งกินเวลาร่วม 6 ปี) และในปีเดียวกันนั้นเอง จักรพรรดิฮั่นซางตี้สวรรคตกะทันหัน ขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็เห็นพ้องให้ยกพระโอรสหลิวเซิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิแทน แต่เติ้งไทเฮากลับสถาปนาหลิวฮู่ (劉祜 ค.ศ. 94–125) โอรสของชิงเหออ๋อง (清河王)[4] เป็นพระเจ้าฮั่นอันตี้ (漢安帝) ท่ามกลางเสียงทัดทานของเหล่าขุนนาง
——ระหว่าง ค.ศ. 107–116 เกิดภัยพิบัติและสงครามอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใน 18 แคว้น (郡國) อุทกภัยที่ทำลายบ้านเรือนและข้าวของเสียหายใน 41 แคว้น 315 อำเภอ ทั้งยังมีพายุฟ้าคะนองที่มีลูกเห็บตกใน 28 แคว้น ประชาชนอดอยากแร้นแค้นจนต้องหันมากินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง ซ้ำร้ายยังต้องรบทัพจับศึกกับชาวซงหนู (匈奴) ที่ฉวยโอกาสช่วงระส่ำระสายบุกรุกดินแดนต้าฮั่น และเหล่าโจรสลัดที่โจมตีบริเวณชายฝั่ง รวมถึงภัยจากแมลงร้ายที่ทำลายพืชไร่ไม้ผลในเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านจนย่อยยับ
——เหล่าขุนนางที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเติ้งไทเฮา กล่าวโทษว่า อาเพศเหล่านี้เกิดเพราะพลังหยิน (陰) แกร่งกว่าพลังหยาง (陽) หญิงเหนือกว่าชาย จึงเตรียมวางแผนปลดไทเฮาและพระเจ้าฮั่นอันตี้ พร้อมทั้งถอนรากถอนโคนพระญาติตระกูลเติ้ง ทว่าแผนการกลับรั่วไหล ไทเฮาไหวตัวทันเสียก่อน จึงสามารถกำจัดเหล่าขุนนางที่เป็นเสี้ยนหนามได้สำเร็จ
——ช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ พระนางทรงมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา เริ่มต้นด้วยการเสวยเนื้อแค่ 1 มื้อต่อวัน ลดจำนวนข้าทาสบริวารและของฟุ่มเฟือยภายในพระราชวัง เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย และเบิกพระราชทรัพย์ในท้องพระคลังเพื่อนำไปบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัย งดเว้นการเก็บภาษีในพื้นที่ประสบภัย ทั้งยังเลือกใช้ขุนนางผู้เหมาะกับความรู้ความสามารถ ส่งขุนศึกฝีมือดีไปปราบชนเผ่านอกด่านที่รุกราน จนผ่านพ้นจุดวิกฤตต่างๆ และชนะใจอาณาประชาราษฎร์ในที่สุด สมัยที่พระนางบริหารราชการแผ่นดินนั้น แทบไม่เกิดกบฏชาวนาที่กระด้างกระเดื่องต่อราชสำนักเลย บันทึกประวัติศาสตร์จือจื้อทงเจี้ยน บรรพราชวงศ์ฮั่น《資治通鑑·漢紀》เขียนไว้ว่า
“ตั้งแต่ไทเฮาออกว่าราชการมา เกิดอุทกภัยและฉาตกภัยซ้ำซาก ภายนอกมีสี่อนารยชนรุกล้ำดินแดน ภายในมีโจรผู้ร้าย ทุกคราที่ทรงทราบว่าเกิดทุพภิกขภัย ก็จักไม่บรรทมตลอดคืน ทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อช่วยประชาราษฎร์จากภัยพิบัติ แผ่นดินจึงกลับเข้าสู่ความสงบสุข อุดมสมบูรณ์ดั่งเดิม” (太后自臨朝以來,水旱十載,四夷外侵,盜賊內起,每聞民飢,或達旦不寐,躬自減徹以救災厄,故天下復平,歲還豐簍。 )
——นอกจากนี้ เติ้งไทเฮายังทรงมีคุณูปการในการสร้างคนเพื่อรับใช้ชาติ เช่น
——ด้านการศึกษา: ในจีนสมัยโบราณ บุรุษย่อมได้รับการศึกษามากกว่าสตรี เพราะสามารถนำความรู้ไปสอบเข้ารับราชการได้ ต่างกับผู้หญิงที่ถูกปลูกฝังให้เป็นแค่แม่เหย้าแม่เรือนเท่านั้น ทว่าเติ้งไทเฮาเป็นคนที่รักการอ่านและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงให้ความสำคัญอย่างมากแก่การศึกษาของเชื้อพระวงศ์ตระกูลหลิว และพระญาติตระกูลเติ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรี
——รัชศกหยวนชู (元初) ปีที่ 6 (ค.ศ. 119) พระนางมีรับสั่งให้ตั้งราชวิทยาลัย (學宮) เพื่ออบรมสั่งสอนบรรดาบุตรธิดาของเหล่าพระอนุชาในพระเจ้าฮั่นเหอตี้ และลูกหลานตระกูลเติ้ง เมื่อมีการทดสอบความรู้ พระนางก็จะเสด็จมาสังเกตการณ์ด้วย ราชวิทยาลัยนี้ถือเป็นโรงเรียนสหศึกษาของทางการแห่งแรกในแผ่นดินจีน ทั้งยังเป็นเสมือนประตูบานแรกที่เริ่มเปิดโอกาสให้สตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษ
——ผลงานที่สำคัญอีกอย่างก็คือ พระนางทรงอุปถัมภ์นักภาษาศาสตร์นามว่า “สี่ว์เซิ่น” (許慎) ให้เรียบเรียง “อักขรานุกรมซัวเหวินเจี่ยจื้อ” 《說文解字》ซึ่งเป็นตำราที่อธิบายลายสือวิเคราะห์อักษรจีนอย่างเป็นระบบ และมีอิทธิพลต่อแวดวงวิชาการจีนมาจนถึงปัจจุบัน
——ด้านเทคโนโลยี: ชาวจีนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่า “ไช่หลุน” (蔡倫 ค.ศ. 63–121) เป็นบิดาแห่งการผลิต “กระดาษ” ทว่าน้อยคนนักที่ทราบว่าเติ้งไทเฮา ก็มีส่วนสนับสนุนในการประดิษฐ์เช่นกัน
——ที่จริงจีนมีการผลิตกระดาษมานานแล้ว ทว่ายังด้อยคุณภาพและไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เมื่อครั้งพระนางเติ้งสุยยังเป็นฮองเฮา พระนางได้เปลี่ยนจากการรับเครื่องบรรณาการที่มีมูลค่าสูงมาเป็นกระดาษและหมึกแทนเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อนำกระดาษจากแคว้นต่างๆ มาให้ไช่หลุนศึกษาและปรับปรุง นอกจากนี้ยังอุปถัมภ์ไช่หลุนอย่างเต็มกำลัง จนเขาสามารถประดิษฐ์กระดาษที่มีคุณภาพและใช้ประโยชน์ได้ ก่อนกลายเป็นที่รู้จักของชาวโลกในเวลาต่อมา
——นอกจากไช่หลุนแล้ว พระนางยังรับบัณฑิตนามว่า “จางเหิง” (張衡 ค.ศ. 78–139) เข้ามารับราชการด้วย จางเหิงเป็นบัณฑิตที่มากความสามารถ เติ้งจื้อ (鄧騭 ไม่ทราบปีเกิด–ค.ศ. 121) พระเชษฐา (พี่ชาย) ของเติ้งไทเฮาชื่นชมในความสามารถของเขา จึงต้องการชวนเข้ารับราชการ แต่ก็ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเติ้งไทเฮาจึงส่งรถม้าของทางการไปเชิญตัวจางเหิงมาได้สำเร็จ ในเวลาต่อมา จางเหิงได้สร้างสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างอันเป็นประโยชน์แก่ราชวงศ์และคนรุ่นหลัง เช่นปรับปรุงเครื่องวัดตำแหน่งดวงดาว (渾天儀) ประดิษฐ์เครื่องวัดแผ่นดินไหว (地動儀) ฯลฯ
——นวัตกรรมดังกล่าว แม้ว่าพระนางเติ้งสุยไม่ได้เป็นผู้คิดค้นเอง แต่ถ้าปราศจากพระนางคอยสนับสนุน เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาได้ไหม
——แม้คุณูปการจะเป็นที่ประจักษ์ แต่มนุษย์เราหาได้สมบูรณ์แบบไม่ มีผู้วิจารณ์ว่าพระนางแต่งตั้งยุวกษัตริย์ เพราะหวังรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งยังให้ความสำคัญแก่พระญาติและขันทีจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งขันทีเจิ้งจ้ง (鄭眾 ไม่ทราบปีเกิด–ค.ศ. 114) กับขันทีไช่หลุน แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นพ้องต้องกันกับคำวิจารณ์ดังกล่าว[5] พวกเขาโต้แย้งว่า ขันทีทั้งสองนอกจากไม่ได้ทำความเดือดร้อนแก่ราษฎรแล้ว ยังทำความดีความชอบแก่ราชสำนักอีกต่างหาก อย่างเจิ้งจ้งเคยช่วยพระเจ้าฮั่นเหอตี้ขจัดกลุ่มอำนาจสกุลโต้ว (竇氏) ไช่หลุนเองก็ได้ปรับปรุงกรรมวิธีผลิตกระดาษจนเป็นที่เลื่องลือ
——ส่วนการใช้งานพระญาติแน่นอนว่าย่อมมีอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเชษฐาเติ้งจื้อ ทว่าพระนางก็มิได้ปล่อยให้พระญาติกระทำตามอำเภอใจ ทั้งยังคอยควบคุมอย่างเข้มงวดอีกด้วย พระญาติจึงวางตัวดีเสมอต้นเสมอปลายตลอดสมัยของพระนาง
-
บทสรุปแห่งอำนาจ
——ตั้งแต่ค.ศ. 105 เป็นต้นมา เติ้งไทเฮาเสด็จออกว่าราชการเอง โดยไม่คืนอำนาจให้แก่ฮั่นอันตี้ กระทั่งรัชศกหย่งหนิง (永寧) ปีที่ 2 (ค.ศ. 121) เติ้งไทเฮาสวรรคตเนื่องด้วยพระอาการประชวร สิริพระชนมายุ 41 พรรษา พระศพฝังร่วมกับพระเจ้าฮั่นเหอตี้ และได้รับพระสมัญญา “เหอซีฮองเฮา”
——จากสตรีผู้ใฝ่รู้ สู่นางพญาซึ่งเสวยอำนาจยาวนานถึง 16 ปี ไม่ว่าเรื่องที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันจะจริงเท็จแค่ไหน แต่ความจริงประการหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ ครั้งหนึ่งพระนางเคยสร้างความเจริญรุ่งเรืองและคืนความสงบสุขให้แก่แผ่นดินฮั่นตะวันออก ทั้งยังขยายดินแดน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สนับสนุนการศึกษาและเทคโนโลยี รวมถึงขจัดมหันตภัยจากภายในและภายนอก ดั่งความใน บันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นยุคหลัง ที่ว่า
“(ไทเฮา) เสวยอำนาจไว้จนผู้คนครหา ที่ทำเช่นนั้นหาใช่เพื่อตนเองไม่ (แต่พระนาง) ทุ่มเทเพื่อปวงชน สร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น” (故知持權引謗,所幸者非己;焦心卹患,自強者唯國。)
[1] ปานเจา (班昭) บัณฑิตหญิงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดี ดาราศาสตร์ ฯลฯ ผลงานสำคัญคือ บันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น《漢書》ที่แต่งต่อจากพี่ชาย “ปานกู้” (班固 ราวค.ศ. 32–92) และนารีจริยา《女戒》(อ้างอิงจากบทความ ปานเจา: ยอดกัลยาณี นักประวัติศาสตร์หญิงคนแรกของจีน ของ ผศ.ถาวร สิกขโกศล)
[2] ลำดับขั้นฝ่ายในสมัยฮั่นตะวันออก: ฮองเฮา (皇后) ➝ กุ้ยเหริน (貴人) ➝เหม่ยเหริน (美人) ➝ กงเหริน (宮人) ➝ ไฉหนี่ว์ (采女)
[3] หลิวหลง หรือ พระเจ้าฮั่นซางตี้ (漢殤帝) เป็นพระโอรสในพระเจ้าฮั่นเหอตี้และนางสนมคนหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏนามตามบันทึกประวัติศาสตร์ พระเจ้าฮั่นเหอตี้มีพระโอรสหลายพระองค์ ทว่าส่วนใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ดังนั้นพระโอรสที่ประสูติมาในภายหลังจึงถูกส่งไปเลี้ยงที่นอกวังแทนเพื่อแก้เคล็ด
[4] “ชิงเหออ๋อง” มีพระนามว่า “หลิวชิ่ง” (劉慶 ค.ศ. 78–107) เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย) ของพระเจ้าฮั่นเหอตี้
[5] อ้างอิงจาก 王鑫義.(1995).女政治家:東漢和帝皇后鄧綏. 安徽史學(02). และ 周建英.(2007).鄧綏簡論. 時代文學(理論學術版)(01),163-164.