งานเลี้ยงสำคัญในประวัติศาสตร์จีน
วัฒนธรรมการกินเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่งของจีน ในประวัติศาสตร์จีนมีงานเลี้ยงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญเกิดขึ้นหลายครั้ง
วัฒนธรรมการกินเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่งของจีน ในประวัติศาสตร์จีนมีงานเลี้ยงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญเกิดขึ้นหลายครั้ง
ชิงเต่า (青島) เป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่นมีอิสระในการพัฒนาเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรซานตง มณฑลซานตง (山東省)
“ตีสามแล้ว... ระวังฟืนไฟ” คำเตือนนี้คงคุ้นหูผู้ที่ติดตามละครหรือภาพยนตร์จีนย้อนยุคเป็นอย่างดี เป็นคำเตือนของเจ้าหน้าที่แจ้งเวลาตอนกลางคืนตามท้องถนน แต่คนจีนสมัยโบราณทราบเวลาได้อย่างไรทั้งๆ ที่ไม่มีนาฬิกา
มนุษย์หลายยุคหลายสมัยแสวงหาวิธีเพื่อการมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ไม่ว่าจะเกิดในชั้นวรรณะหรือวัฒนธรรมใด ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ วัฒนธรรมและความเชื่อที่หลากหลายของชาวจีนส่งผลต่อแนวคิดหรือมุมมองเรื่องชีวิตและความตาย
นวนิยายจีนเรื่อง ‘จินผิงเหมย’ (金瓶梅) หรือชื่อไทยว่า ‘บุปผาในกุณฑีทอง’ ได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 4 สุดยอดวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์หมิง แต่งโดยผู้ใช้นามแฝงว่า ‘หลันหลิงเซี่ยวเซี่ยวเซิง’ (蘭陵笑笑生) ราวปลายสมัยราชวงศ์หมิง
คนจีนเป็นชนชาติที่รอบรู้เรื่องศิลปะแห่งนันทนาการอย่างยิ่ง นันทนาการแต่ละชนิดมีความประณีตและหยาบกระด้างต่างกันไป
‘เฉินซื่อเหม่ย’ (陳世美) เป็นชื่อแซ่ของบุรุษผู้หนึ่งในสังคมจีนยุคโบราณ ทว่าปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นสรรพนามที่สื่อความหมายในเชิงลบ ใช้เรียกแทน ‘ผู้ชายเลวทรามซึ่งมีพฤติกรรมทรยศต่อภรรยาของตน’
ในยุคที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าอย่างทุกวันนี้ ประชาชนจำนวนมากต้องล้มตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่ด้วยความมุมานะศึกษาค้นคว้าอย่างยากลำบากของหมอสมุนไพรจีนนามว่าหลี่สือเจิน (李時珍 ค.ศ. 1518-1593)
‘ราษฎรถือเรื่องปากท้องสำคัญเท่าฟ้า’ (民以食為天) เป็นสำนวนจีนที่สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับอาหารการกินของคนจีนได้เป็นอย่างดี
ในอดีต ชาวตะวันตกส่วนใหญ่รู้จักคนจีนในฐานะพ่อค้าวาณิชที่เดินเรือค้าขายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ต่อมาชาวตะวันตกที่เดินทางเข้าไปในประเทศจีนมักจะนำเอาเรื่องราวต่างๆ