“ลูกหมู” การค้าแรงงานจีนไปต่างประเทศ เรื่องโดย พัชรณิภา มูลสินทอง |
——คำว่า “ลูกหมู” (豬仔) มาจากไหน มีที่มาอย่างไร เหตุใดจึงมีประเด็นโยงใยไปถึงการค้าแรงงานจีนไปต่างประเทศได้ แม้แต่ในปัจจุบันยังปรากฏคำว่า “ลูกหมู” หรือ “แก๊งลูกหมู” (豬仔帮) บนหน้าหนังสือพิมพ์ยามที่กล่าวถึงเหล่ามิจฉาชีพชาวจีน ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความหมายเชิงลบและการดูถูกดูแคลน
- เพราะเหตุใดมนุษย์จึงมีชะตากรรมเปรียบเสมือนกับลูกหมู
——“บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวในกวางตุ้ง”《粵遊小志》ของจางซินไท่ (張心泰) ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1827 เป็นเอกสารฉบับแรกซึ่งปรากฏข้อความกล่าวถึง “ลูกหมู” ว่า “ณ มณฑลกวางตุ้ง…มีการล่อลวงราษฎรผู้โง่เขลาไปขายแรงงาน เรียกว่าธุรกิจการค้าลูกหมู”1 รวมถึงหลินเจ๋อสีว์ (林則徐 ค.ศ. 1785–1850) ข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ (欽差大臣) แห่งราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616–1912) เคยถวายฎีกาต่อจักรพรรดิเต้ากวง (道光帝 ค.ศ. 1782–1850) ทูลว่า “มักมีเรือของอนารยชนทางฝั่งตะวันออกขนส่งคนยากจนไปนอกราชอาณาจักรเพื่อหาเลี้ยงชีพ…ยามที่แรงงานจีนอยู่บนเรือ ล้วนถูกสั่งให้กินข้าวพร้อมกันจากกะละมังไม้ โดยส่งเสียงเป็นอาณัติสัญญาณคล้ายการเรียกหมูมากินอาหาร จึงมีคนกล่าวว่าเรือลำนี้ขายลูกหมู”2 จะเห็นได้ว่า “ความโง่เขลา” และ “ความยากจน” อันเนื่องมาจากความอ่อนด้อยในการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมจีนสมัยปลายราชวงศ์ชิง กอปรกับความต้องการแรงงานมหาศาลจากเหล่านักล่าอาณานิคมชาวตะวันตกในการบุกเบิกพื้นที่ป่าให้เป็นฟาร์มเกษตรหรือทำธุรกิจเหมืองแร่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ล้วนเป็นเหตุให้คนจีนต้องละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปขายแรงงานที่ต่างแดน และจึงเกิดคำว่า “ลูกหมู” ขึ้น ณ เวลานั้น
——นอกจากนี้ คำว่า “การค้าลูกหมู” (賣豬仔) ที่ใช้กันแพร่หลายในถิ่นกวางตุ้ง (廣東) ยังหมายถึงการค้าแรงงานจีนไปต่างประเทศเพื่อทำงานเป็นกุลี (Coolie)3 ด้วยสภาพชีวิตสุดรันทดและย่ำแย่ของเหล่าแรงงานจีน ชาวจีนจึงเรียกการค้าแรงงานเช่นนี้ในเชิงเสียดสีว่าเป็นธุรกิจการค้าลูกหมู
- ลูกหมูในเปลือกแรงงานพันธสัญญา
——เอกสารจีนหลายฉบับระบุว่า กระแสการอพยพแรงงานจีนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในยุคกลางและปลายสมัยราชวงศ์ชิง แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาคือ 1. ช่วงก่อนสงครามฝิ่น ลูกหมูกลุ่มนี้ออกนอกประเทศเพื่อหาเลี้ยงชีพ ส่วนใหญ่กระจายกันอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 2. ช่วงสงครามฝิ่นถึงปลายราชวงศ์ชิง แรงงานจีนส่วนใหญ่ถูกชาวตะวันตกลักพาตัวไปขายทั่วโลก
——ระหว่าง ค.ศ. 1850–1870 มีโรงลูกหมูในนามสำนักจัดหางาน (招工局) ผุดขึ้นตามเมืองท่าสำคัญทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เกือบทุกแห่ง มีการกว้านรับสมัครแรงงานทั่วแผ่นดินจีน ส่วนใหญ่มาจากชนบทที่ยากจนและห่างไกลความเจริญ ซึ่งมีทั้งแรงงานที่สมัครใจไปเอง ถูกล่อลวง ไปจนถึงการถูกลักพาตัว
——ถึงแม้ว่าในขณะนั้นพวกเขาจะมีชื่อเรียกที่ไพเราะและเป็นทางการว่า แรงงานจีน (華工) หรือ แรงงานจีนพันธสัญญา (契約華工) แต่ความเป็นจริงกลับไม่ต่างจากแรงงานทาส ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ชาวจีนโพ้นทะเลในอินโดนีเซีย” 《印尼華僑史》 ของหลี่เสว์หมิน (李學民) และหวงคุนจาง (黃昆章) อธิบายนิยามของแรงงานจีนพันธสัญญาว่า “นักล่าอาณานิคมชาวตะวันตกต้องการยึดอาณานิคมหรือทรัพยากรของประเทศจีน จึงรับสมัครแรงงานชาวจีนโดยใช้พันธสัญญา ในระยะเวลาสัญญา จะต้องทำงานใช้แรงงานให้แก่นายจ้าง ค่าจ้างต่ำ ทว่างานหนักเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งคุณภาพชีวิตย่ำแย่ ไม่ต่างอะไรกับแรงงานทาสเลย”4 ซึ่งการค้าแรงงานจีนไปต่างประเทศ ซึ่งนำร่องโดย บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Dutch East India Company)5 แบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้
1) แรงงานจีนที่ไปอเมริกาและแคนาดา
——แรงงานกลุ่มนี้ถูกส่งไปสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในฐานะลูกหนี้ที่ค้างจ่ายตั๋วเรือและค่าเดินทาง เพื่อสร้างทางรถไฟ ขุดเหมืองทองคำและดีบุก ทดแทนทาสผิวดำที่ขาดหายไป โดยในขณะนั้น สหรัฐอเมริกากำลังสร้างทางรถไฟยูเนี่ยนแปซิฟิก (Union Pacific Railroad) เชื่อมโยงทั่วทั้งประเทศ จึงรับสมัครแรงงานจีนหลายหมื่นคนเพื่อสร้างทางรถไฟ ทว่าแล้วเสร็จ กลับมีกระแสต่อต้านแรงงานจีนอย่างรุนแรง มีทั้งการขับไล่ ทำร้ายร่างกาย รวมถึงการสังหาร กระทั่ง ค.ศ. 1882 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสัญญาว่าจ้างและห้ามแรงงานจีนเข้าประเทศโดยเด็ดขาด ถือเป็นการสิ้นสุด “แรงงานกุลีที่ค้างชำระตั๋วเรือ” ในสหรัฐอเมริกา

แรงงานจีนขณะทำงาน ณ ทางรถไฟสายยูเนี่ยนแปซิฟิก อุโมงค์ที่ 8 ซึ่งยังไม่เสร็จสิ้นการก่อสร้าง)
2) แรงงานที่ไปละตินอเมริกา
——แรงงานกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดถูกล่อลวง และถูกลักพาตัวโดยกลุ่มมิจฉาชีพที่รับจ้างจากบริษัทค้ามนุษย์ ซึ่งหนึ่งในบริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจค้ามนุษย์ในขณะนั้นคือ บริษัทการค้าต่างชาติเต๋อจี้ (德記洋行) ของนักธุรกิจชาวสกอตในเครือจักรภพอังกฤษชื่อว่าเจมส์ เทต (James Tait) เป็นที่รู้จักในนามห้างค้ามนุษย์ (賣人行) บริษัทนี้ว่าจ้างมิจฉาชีพหลายร้อยคนไว้เพื่อลักพาตัวลูกหมู หลังยุคสงครามฝิ่น ธุรกิจค้ามนุษย์ดังกล่าวทำกำไรได้มหาศาล เฉพาะแรงงานจีนซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและราคาถูกกว่าทาสผิวดำ โดยแรงงานกลุ่มนี้จะถูกประทับตราด้วยอักษรที่แตกต่างกันเพื่อบ่งบอกจุดหมายปลายทาง เช่น C (คิวบา) หรือ P (เปรู) เพื่อทำงานเหมืองแร่ สวนอ้อย รวมถึงเก็บขี้นก (Guano) ตามเกาะต่างๆ เพื่อนำมาขายเป็นปุ๋ย ซึ่งเป็นงานที่หนักและเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการติดโรคจากสัตว์
——การล่องเรือจากจีนตอนใต้ไปยังละตินอเมริกาใช้เวลาราวครึ่งปี หลายคนเสียชีวิตก่อนที่จะไปถึง อันเกิดจากปัญหาบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวน ส่งผลให้แรงงานจีนจำนวนมากถูกบังคับให้อยู่ใต้ท้องเรืออันอุดอู้ ซึ่งมีสภาพไม่ต่างกับคุก เหล่าแรงงานได้แต่นั่งหันหลังชนกัน หากอยากนอนหรือขับถ่าย ก็ต้องทำในที่อันจำกัดและแออัดนี้ เมื่อมีคนป่วยก็เกิดโรคระบาดเพราะอากาศไม่ถ่ายเท ถ้ามีแรงงานขัดขืนก็จะถูกมัดมือมัดเท้าไว้เหมือนหมู โดนห้ามกินอาหารและถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งสภาพชีวิตเหมือนตกนรกเช่นนี้ถูกพรรณนาเป็นถ้อยคำโด่งดังที่ว่า “นรกที่ลอยอยู่ในทะเล” (海上浮動地獄)
——เปรูและคิวบาในสมัยนั้นเป็นอาณานิคมของสเปน ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายในการปฏิบัติต่อแรงงานจีน ใน ค.ศ. 1880 มีชาวจีนที่ขึ้นทะเบียนกับสถานกงสุลใหญ่จีนในคิวบาเพียง 40,000 คนเท่านั้น ซึ่งต่างจากความจริงเป็นอย่างมาก พอเรื่องแดงขึ้น ก็มีข้อสงสัยว่าแรงงานจีนอาจถูกทรมานจนตายก่อนสิ้นสุดสัญญา ราชสำนักชิงจึงได้ส่งคนไปยังคิวบาและเปรูเพื่อตรวจสอบ โดยมีรายงานกิจการแรงงานจีนในคิวบา《古巴華工事務各節》กลับมาพร้อมกับคำร้องของแรงงานจีนกว่า 1,600 ราย แจกแจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทารุณกรรมของนายจ้างที่ทำให้พวกเขาได้รับทุกข์ทรมานอย่างสาหัสสากรรจ์
3) แรงงานจีนที่ไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
——แรงงานกลุ่มนี้ถูกส่งไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง “ธุรกิจการค้าลูกหมู” ในขณะนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่สิงคโปร์และมาเก๊า
——ตั้งแต่ ค.ศ. 1864 เกาะสุมาตราในอำนาจปกครองของดัตช์ต้องการให้แรงงานจีนปลูกยาสูบ กัญชา พริกไทย ไร่ฝิ่น รวมไปถึงบุกเบิกเหมืองแร่ต่างๆ
——เอกสารสำนักงานอาณานิคมช่องแคบ (Straits Settlement)6 ซึ่งตั้งอยู่ที่สิงคโปร์แสดงตัวเลขสถิติว่า จำนวนชาวจีนที่เดินทางมาถึงสิงคโปร์ระหว่าง ค.ศ. 1911–1920 อยู่ที่ 1.9 ล้านคน และระหว่างปี ค.ศ. 1921–1930 เพิ่มเป็น 2.42 ล้านคน ในนั้นมีลูกหมูมากถึง 70% ซึ่งบางส่วนก็ตั้งถิ่นฐานในสิงคโปร์ บางส่วนถูกขายต่อและส่งไปยังทั่วโลก
- เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแต่แสนเจ็บปวด
——– โรงลูกหมู (豬仔館) มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า สำนักจัดหางาน (招工局) แต่แท้จริงคือสถานที่กักขัง ค้าขาย และขนส่งแรงงานจีนไปยังภูมิภาคต่างๆ ภาษาโปรตุเกสเรียกว่า Barracoon ซึ่งในขณะนั้นมาเก๊าเป็นศูนย์กลางการค้ามนุษย์ โดยมีการตั้งโรงลูกหมูขึ้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของจีน เช่น ซัวเถา เซี่ยเหมิน กว่างโจว ฮ่องกง รวมถึงสิงคโปร์และปีนัง ฯลฯ
——– สัญญาลูกหมู (豬仔紙) มีชื่อเรียกทางการว่า สัญญาการจ้างแรงงานจีน (華工契約) แต่ชาวบ้านจีนนิยมเรียกกันว่า “เอกสารขายลูกหมู” หลังจากลงชื่อแล้ว ชาวจีนผู้คาดหวังจะไปทำงานในต่างประเทศก็จะตกอยู่ในสถานะลูกหมู และสูญสิ้นเสรีภาพส่วนบุคคลตั้งแต่ยังอยู่ที่สำนักจัดหางานโดยทันที ที่สำคัญคือแรงงานจีนผู้ซึ่งไม่ได้รับการศึกษา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัญญานั้นระบุเงื่อนไขว่าอย่างไรบ้าง
——– เงินตราลูกหมู (豬仔錢) คือ สกุลเงินที่กำหนดขึ้นโดยเจ้าของฟาร์มเกษตรหรือเหมืองแร่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักทำจากเซรามิก กระดาษ หรือดีบุก เพื่อใช้หมุนเวียนกันภายใน แรงงานมีเวลาเพียง 1 วันเท่านั้นที่จะนำ “เงินลูกหมู” นี้มาแลกเป็นเงินจริงและนำออกไปใช้จ่ายหรือส่งกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม คนงานส่วนใหญ่ไม่มีเงินเหลือพอที่จะแลกเปลี่ยน เพราะนอกจากจะต้องชำระค่าครองชีพทั่วไปแล้ว ยังมีภาระรายจ่ายเพิ่มเติมในแต่ละวัน เช่น การซื้อยาสูบและเครื่องดื่มมึนเมา การเล่นพนัน หรือไถ่ถอนสิ่งของกับโรงรับจำนำ ซึ่งเป็นกิจการของผู้รับเหมาฟาร์มเกษตรหรือเหมืองแร่ชาวจีนที่ทำสัญญากับรัฐบาลท้องถิ่นไว้
——– ลูกหมูหญิง (豬花) หมายถึง ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของการค้าทาสในปลายราชวงศ์ชิง ถูกกลุ่มค้ามนุษย์ขายไปยังสหรัฐอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสถานที่อื่นๆ บ้างถูกขายให้เป็นภรรยาของลูกหมู บ้างก็ขายให้กับซ่องโสเภณี โดยมีสถานะทางสังคมต้อยต่ำและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่น่าสังเวชยิ่งกว่าลูกหมูชาย
——– ระบบกรรมสิทธิ์เจ้าท่า (港主制度)เป็นนโยบายส่งเสริมการใช้แรงงานจีนบุกเบิกพื้นที่ระหว่างแม่น้ำสายหลักกับสายรองของรัฐยะโฮร์ของประเทศมาเลเซีย โดยเปิดให้ชาวจีนผู้มีอิทธิพลสามารถเช่าที่ดินรกร้างว่างเปล่าเพื่อทำฟาร์มเกษตร เช่น ปลูกต้นพริกไทยหรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ มีตำแหน่งเรียกว่า เจ้าท่า (港主 Tuan Sungai) ซึ่งถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน (港契 Surat Sungai) รวมทั้งได้รับสิทธิบัตร 5 ฉบับ สามารถดำเนินกิจการบ่อนพนัน โรงรับจำนำ จำหน่ายสุรา เนื้อหมูและฝิ่นให้แก่แรงงานในพื้นที่การปกครอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแรงงานจีนอย่างไร้มนุษยธรรมดังกล่าว กลับไม่ได้รับความสำคัญจากราชสำนักชิงมากนัก เพราะอยู่ในสภาพอ่อนแอและกำลังเสื่อมอํานาจลง เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่เพียงไม่ห้ามปราม บางคนยังมีส่วนร่วมในธุรกิจที่มีกําไรมหาศาลนี้ ทำให้การค้า “ลูกหมู” กระจายตัวเป็นวงกว้างยิ่งขึ้น จนกระทั่ง ค.ศ. 1865 ทางรัฐบาลของอังกฤษและฝรั่งเศสได้หารือกับผู้แทนราชสำนักชิงคือ กงชินหวัง (恭親王 ค.ศ. 1833–1898)7 ถึงวิธีการส่งแรงงานจีนพันธสัญญาไปต่างประเทศ ในที่สุดกงชินหวังก็เสนอข้อกำหนด 3 ประการดังนี้
- รัฐบาลจีนยินยอมให้แรงงานชาวจีนออกนอกประเทศโดยอิสระ แต่จำกัดระยะเวลาสัญญาเพียงสามปีเท่านั้น ระหว่างเวลาทำงาน สวัสดิการและการชดเชยเนื่องจากเจ็บป่วยล้วนต้องเป็นไปตามกำหนด
- ผู้ที่ใช้วิธีล่อลวง ขู่เข็ญ หรือบีบบังคับให้แรงงานจีนออกนอกประเทศ ให้ประหารชีวิตตามกฎหมาย
- สถานที่ออกนอกประเทศให้จำกัดอยู่ที่ท่าเรือตามสนธิสัญญาเท่านั้น เพื่อความสะดวกในการช่วยเหลือของกงสุลต่างประเทศ
——กล่าวได้ว่า แรงงานจีนพันธสัญญาที่ถูกขายไปยังทวีปอเมริกาใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่นๆ นั้น แม้จะต้องทนทุกข์ทรมาน ตรากตรำทำงานหนัก แต่ก็ถือว่าเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมที่พวกเขาอาศัย
[1]廣東省…有誘愚民而販賣,謂之賣豬仔
[2]夷船慣搭窮民出洋謀生,…當其在船之時,皆以木盆盛飯,呼此等搭船華民一同就食,其呼聲與內地呼豬相似,故人曰此船為賣豬仔。
[3] ผู้ใช้แรงงานที่รับจ้างทำงานหนักและรับค่าจ้างต่ำกว่ามาตรฐาน บางครั้งมีความหมายเฉพาะเจาะจงถึงแรงงานจีนพันธสัญญา
[4]契約華工指的是西方殖民者爲了掠奪殖民地或本國資源,用契約形式招募的中國勞工。華工在契約期間,必須爲僱主勞動,工資低,勞動強度大,生活條件差,實際與奴隸勞動無異。
[5] ในค.ศ. 1602 มีการจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งแผ่อิทธิพลด้านการค้ายังตะวันออกไกล (Far East) พร้อมกับปฏิบัตินโยบายการล่าอาณานิคมตามรอยการแสวงหาความมั่งคั่งทางการค้าของสเปนและโปรตุเกส
[6] ระหว่าง ค.ศ. 1826–1946 สิงคโปร์ได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของอาณานิคม ได้ครอบครองดินแดนอาณานิคมช่องแคบ ซึ่งหลักๆ ประกอบไปด้วย สิงคโปร์ รัฐปีนัง และรัฐมะละกา ฯลฯ
[7] มีพระนามว่า “อ้ายซินเจ๋ว์หลัว อี้ซิน” (愛新覺羅·奕訢) พระโอรสลำดับที่ 6 ในจักรพรรดิเต้ากวง และเป็นพระอนุชาในจักรพรรดิเสียนเฟิง (咸豐 ค.ศ. 1831–1861) แห่งราชวงศ์ชิง อีกทั้งยังเป็นผู้สำเร็จราชการในช่วงต้นรัชกาลจักรพรรดิถงจื้อ (同治 ค.ศ.1856–1875)