บันทึกรักปิ่นม่วง:
นาฏกรรมแสนรันทดแต่งดงามตรึงใจ
เรื่องโดย พลพัธน์ ภูรีสถิตย์
——บันทึกรักปิ่นม่วง《紫釵記》เป็นบทงิ้วคุนฉี่ว์ (崑曲)[1] ที่แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ.1368–1644) โดยนักเขียนบทละครชาวเมืองหลินชวน มณฑลเจียงซี นามทังเสี่ยนจู่ (湯顯祖 ค.ศ. 1550–1616) ดัดแปลงโครงเรื่องและเนื้อเรื่องจาก ตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์《霍小玉傳》ที่แต่งโดยเจี่ยงฝาง (蔣防 ราว ค.ศ. 792–835) และเป็นบทละครจ๋าจี้ว์ (雜劇)[2] ซึ่งมีอยู่เดิมในสมัยราชวงศ์ถัง (唐 ค.ศ. 618–907) ตำนานทั้งสองเรื่องพรรณนาความรักของบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์อย่างหลี่อี้ (李益 ค.ศ. 746–829) กวีและขุนนางผู้ใหญ่ กับหญิงสาวนามฮั่วเสี่ยวอี้ว์ (霍小玉)
——หลี่อี้ พระเอกของเรื่องเป็นบัณฑิตเมืองหล่งซี (隴西) ผู้เข้ามาศึกษาหาความรู้ในนครฉางอัน (長安) ชีวิตของเขากำลังก้าวหน้าและมีอนาคตที่สดใส หลี่อี้เห็นว่าตนถึงวัยที่สมควรจะมีคู่ได้แล้ว จึงไหว้วานเป้าซื่อเหนียง (鮑四娘) ให้เป็นแม่สื่อช่วยจัดหาคู่ เป้าซื่อเหนียงเห็นว่าหญิงที่เหมาะสมกับหลี่อี้คือ “ฮั่วเสี่ยวอี้ว์” ธิดาของฮั่วอ๋อง (霍王) กับเจิ้งลิ่วเหนียง (鄭六娘) ขณะนั้นฮั่วเสี่ยวอี้ว์มีอายุได้ 16 ปี หน้าตาเกลี้ยงเกลา กิริยามารยาทแช่มช้อย มีความสามารถหลายด้าน รวมทั้งด้านดนตรีและการร่ายรำซึ่งเป้าซื่อเหนียงเป็นครูสอน เป้าซื่อเหนียงจึงวางแผนให้หลี่อี้ไปชมโคมในเทศกาลหยวนเซียว แล้วชักนำให้ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ไปร่วมชมโคมด้วย
——ในคืนเทศกาลหยวนเซียว ฮั่วเสี่ยวอี้ว์บังเอิญทำปิ่นปักผมรูปนกนางแอ่นประดับหยกสีม่วงไปเกี่ยวกิ่งต้นเหมยเข้าโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮั่วเสี่ยวอี้ว์พบว่าปิ่นของตนหาย จึงรีบตามหา บังเอิญที่หลี่อี้เป็นคนเก็บปิ่นนั้นได้ ทั้งสองจึงได้พบกันและต่างคนต่างรู้สึกชอบพอกัน หลี่อี้ตั้งใจว่าจะให้เป้าซื่อเหนียงนำปิ่นไปคืนพร้อมกับทาบทามผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงเพื่อสู่ขอฮั่วเสี่ยวอี้ว์
——หลังจากมารดากับบุตรสาวปรึกษากัน อีกทั้งเป้าซื่อเหนียงก็ยืนยันว่าหลี่อี้เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถสมเป็นบัณฑิต เจิ้งลิ่วเหนียงเลยตกลงยกฮั่วเสี่ยวอี้ว์ให้เป็นภรรยาของหลี่อี้ ทั้งสองครองคู่กันอย่างราบรื่นและชื่นมื่นได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งมีการจัดสอบคัดเลือกขุนนางที่นครลั่วหยาง (洛陽) หลี่อี้จำต้องร่ำลาภรรยาแล้วรีบเดินทางไปยังลั่วหยาง และสุดท้ายก็สอบได้ตำแหน่งจอหงวนตามที่ใฝ่ฝันไว้ ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้น
——ขณะนั้น เสนาบดีหลู (盧太尉) สมุหพระกลาโหมผู้เรืองอำนาจกำลังมองหาบุรุษที่คู่ควรแก่การเป็นบุตรเขยของตน จึงเชิญเหล่าข้าราชการและบัณฑิตมาร่วมงานเลี้ยงโต๊ะที่คฤหาสน์ ทว่าหลี่อี้ปฏิเสธคำเชิญ เมื่อท่านสมุห์หลูทราบข่าวก็บันดาลโทสะ และมีบัญชาให้ส่งหลี่อี้ไปเป็นทหารที่นอกด่าน ทั้งยังตัดขาดการติดต่อระหว่างสองสามีภรรยา ฝ่ายชายทำได้เพียงวาดภาพคนรักเพื่อคลายความคิดถึง ในขณะที่ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ต้องทนใช้ชีวิตอย่างตรอมใจ ต่อมาหลี่อี้สร้างผลงานจนมีความดีความชอบ ท่านสมุห์หลูจึงเปลี่ยนแผน โดยการกราบบังคมทูลให้ทรงเลื่อนตำแหน่งหลี่อี้เป็นแม่ทัพรักษาด่านเมิ่งเหมินในซานซี (山西孟门) และยื่นข้อเสนอให้หลี่อี้แต่งงานกับบุตรีของตน แต่หลี่อี้ปฏิเสธข้อเสนอและยืนยันว่าตนมีฮั่วเสี่ยวอี้ว์เป็นภรรยาอยู่แล้ว ท่านสมุห์หลูจึงต้องยืมมือฮั่วเสี่ยวอี้ว์เพื่อให้แผนการบรรลุผล
——ท่านสมุห์หลูเรียกตัวหลี่อี้เข้าเมืองหลวงแล้วให้ทหารจับหลี่อี้ขังไว้ในสำนัก จากนั้นก็ปลอมสารส่งไปแจ้งฮั่วเสี่ยวอี้ว์ว่าหลี่อี้ตกลงแต่งงานกับบุตรีของตนแล้ว ฮั่วเสี่ยวอี้ว์เสียใจมาก แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ขณะนั้นฮั่วเสี่ยวอี้ว์ตกอยู่ในฐานะลำบาก จึงให้สาวใช้นำปิ่นนกนางแอ่นประดับหยกม่วงออกขาย ท่านสมุห์หลูเลยให้คนไปรับซื้อไว้ หวังใช้เป็นไพ่ตายเพื่อพรากคนทั้งสองออกจากกันอย่างสิ้นเยื่อใย ท่านสมุห์หลูสั่งให้เป้าซานเหนียง (鮑三娘) พี่สาวของเป้าซื่อเหนียงนำปิ่นไปให้หลี่อี้ แล้วหลอกว่าฮั่วเสี่ยวอี้ว์แต่งงานใหม่ไปแล้ว ต่อมาท่านสมุห์หลูก็พูดหว่านล้อมหลี่อี้ให้แต่งงานกับบุตรีของตน โดยขอรับสินสอดเป็นปิ่นเล่มดังกล่าวเท่านั้น ทว่าหลี่อี้ยังคงพยายามหาทางบ่ายเบี่ยง
——ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ มียอดนักสู้ผู้ผดุงความยุติธรรม สมญาจอมยุทธ์เสื้อเหลือง (黃衫客) ได้ทราบเรื่องราวของหลี่อี้และฮั่วเสี่ยวอี้ว์โดยตลอดและเกิดความสงสาร จอมยุทธ์เสื้อเหลืองได้วางแผนร่วมกับสหายสนิทของหลี่อี้อีกสองนาย ถือโอกาสช่วงที่ดอกโบตั๋นกำลังบานสะพรั่งแอบอ้างว่าพระอาจารย์อู๋เซี่ยง (無相禪師) เชิญหลี่อี้ไปชมโบตั๋นที่วัดฉงจิ้ง (崇敬寺) ก่อนพาตัวหลี่อี้ไปบ้านตระกูลฮั่วซึ่งฮั่วเสี่ยวอี้ว์พักรักษาไข้ใจอยู่ ในที่สุดสองสามีภรรยาได้พบหน้ากันอีกครั้งและปรับความเข้าใจกัน หลี่อี้มอบปิ่นคืนให้ภรรยา หลังจากทั้งคู่ได้กลับมาครองรัก จอมยุทธ์เสื้อเหลืองก็เข้าเฝ้าพระจักรพรรดิและกราบบังคมทูลเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อความจริงปรากฏจึงพระราชทานยศให้หลี่อี้เป็นขุนนางประจำในสำนักราชบัณฑิตพระที่นั่งจี๋เสียนเตี้ยน (集賢殿學士) ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยิน เรื่องร้ายคลี่คลาย สองสามีภรรยาได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันอย่างเป็นสุขในที่สุด
——ชะตาชีวิตของฮั่วเสี่ยวอี้ว์ในบันทึกรักปิ่นม่วงปิดฉากอย่างสวยงาม ราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายตะวันตก แต่ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ในบทละครตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์กลับประสบชะตากรรมอันเลวร้าย
ชีวิตระทมของฮั่วเสี่ยวอี้ว์ใน ตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์《霍小玉傳》
——ตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์ของเจี่ยงฝางที่เป็นต้นเค้าของบันทึกรักปิ่นม่วงนั้น เล่าพื้นเพของฮั่วเสี่ยวอี้ว์ว่าเดิมเป็นนางขับกล่อม (歌妓)[3] เนื่องด้วยมารดาซึ่งเป็นภรรยาน้อย เคยประกอบอาชีพนางขับกล่อม แต่ครอบครัวฝ่ายบิดาไม่ยอมรับ เลยขับไสไล่ส่งทั้งคู่ออกจากตระกูล ครั้นบิดาถึงแก่กรรม เจิ้งจิ้งฉือ (鄭凈持) ผู้เป็นมารดาจึงตัดสินใจสอนบุตรสาวให้เลี้ยงชีพด้วยการขับร้องและร่ายรำ แต่ไม่ค้าประเวณี อีกทั้งคอยดูแลฮั่วเสี่ยวอี้ว์อย่างใกล้ชิด และมุ่งหวังให้บุตรีได้คู่ชีวิตที่ดี ด้วยความงามและน้ำเสียงอันไพเราะ ฮั่วเสี่ยวอี้ว์กลายเป็นนางขับกล่อมนามกระฉ่อน มีบุรุษมากหลายที่หมายปอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตาของนางเลย จวบจนหลี่อี้ผ่านเข้ามาในชีวิต…
——หลี่อี้เป็นหนุ่มรูปงาม และเป็นกวีเรืองนาม เขาเพิ่งสอบคัดเลือกขุนนางได้อันดับหนึ่ง และกำลังรอรับพระราชทานตำแหน่งขุนนางอยู่ หลังจากพบกันไม่นาน กลอนรักของหลี่อี้ก็ผูกใจนักร้องสาวได้สำเร็จ ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ตกลงร่วมหอลงโรงกับหลี่อี้ และออกเรือนไปอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา ขณะที่ชีวิตรักกำลังชื่นมื่น หลี่อี้ก็เตรียมเดินทางกลับไปทำธุระที่นครลั่วหยาง เจิ้งจิ้งฉือจึงรวบรัดจัดการแต่งงานให้บุตรสาว ก่อนเดินทางหลี่อี้ให้คำมั่นว่าจะรีบกลับมาหาฮั่วเสี่ยวอี้ว์เมื่อมีโอกาส ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ร่ำลาหลี่อี้ด้วยความวิตกว่า ฐานันดรใหม่ของหลี่อี้อาจทำลายสายใยแห่งความรักระหว่างนางกับสามี
——ความกังวลของฮั่วเสี่ยวอี้ว์กลายเป็นจริง เมื่อหลี่อี้ตัดสินใจเข้าพิธีมงคลสมรสกับบุตรีขุนนางตระกูลหลูที่ลั่วหยาง ด้วยเห็นแก่อำนาจและลาภยศที่จะตามมาในภายหน้า ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ได้แต่เฝ้ารอหลี่อี้อย่างชอกช้ำระกำใจจนสุขภาพกายทรุดโทรมและล้มป่วย แต่หลี่อี้ก็ไม่กลับมาเหลียวแล กระทั่งยอดนักสู้ผู้มีคุณธรรมอย่างจอมยุทธ์เสื้อเหลืองอดรนทนไม่ได้ จึงยื่นมือพาหลี่อี้ไปดูอาการภรรยาที่เจ็บร่อแร่ แต่ฮั่วเสี่ยวอี้ว์ลุกขึ้นมาตัดพ้อสามีได้ไม่กี่ประโยค ก็ทรุดตัวลงขาดใจ
——ฮั่วเสี่ยวอี้ว์สิ้นชีวิตไปด้วยความคุมแค้น และกลายเป็นวิญญาณพยาบาทที่คอยรังควานหลอกหลอนสามีเก่า แม้มียศถาบรรดาศักดิ์และเงินทองเพียบพร้อม ทว่าหลี่อี้ก็ไม่เคยมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขได้อีกเลยนับแต่นั้น
——ตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์นี้ หูอิ้งหลิน (胡應麟 ค.ศ. 1551–1602) นักปราชญ์สมัยราชวงศ์หมิงเคยวิจารณ์ไว้ว่า เป็นบทละครที่สะท้อนภาพชีวิตผู้คนในสมัยราชวงศ์ถังได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ความรู้สึกของคณิกาสมัยนั้นซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษา ชะตากรรมของฮั่วเสี่ยวอี้ว์ในตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์และบันทึกรักปิ่นม่วงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะมีการดัดแปลงโครงเรื่องและเนื้อเรื่องจากโศกนาฏกรรมมาเป็นสุขนาฏกรรมอย่างเห็นได้ชัด แต่จุดเด่นอย่างหนึ่งที่มีผู้แสดงความคิดเห็นในวงการวิชาการก็คือ ตำนานทั้งสองมีจุดร่วมตรงที่ตีแผ่โครงสร้างอันเลวร้ายของระบบราชการซึ่งทำให้คนลุ่มหลงในอำนาจลาภยศสรรเสริญอันจอมปลอม ดังภาพลักษณ์ของตัวละครอย่างท่านสมุห์หลูผู้ทรงอิทธิพล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องราวในบันทึกรักปิ่นม่วงลงท้ายด้วยความสุขสมหวัง เรื่องนี้จึงได้รับความนิยมแพร่หลายกว่าตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์
——ในทศวรรษ 1950 ถังตี๋เซิง (唐滌生 ค.ศ. 1917–1959) ผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทงิ้วกวางตุ้งนามอุโฆษในฮ่องกงได้นำเรื่องบันทึกรักปิ่นม่วงมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์งิ้ว นำแสดงโดยนักแสดงงิ้วกวางตุ้งชั้นนำของฮ่องกงอย่างเหรินเจี้ยนฮุย (任劍輝 ค.ศ. 1913–1989) และไป๋เส่ว์เซียน (白雪仙 ค.ศ. 1928–ปัจจุบัน) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก งิ้วเรื่องบันทึกรักปิ่นม่วงกลายเป็นหนึ่งในงิ้วกวางตุ้งอันโด่งดังและมีบทร้องประจำเรื่องที่ติดหูคนฟัง นอกจากนี้ยังมีการนำมาดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ด้วย
——แม้ว่าบันทึกรักปิ่นม่วงจะมีต้นเค้าจากตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์ แต่ก็ได้ดัดแปลงโครงเรื่องและเนื้อเรื่องตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จึงถือเป็นมรดกวรรณคดีจีนแบบจารีตในสังคมศักดินาที่น่าศึกษาเรื่องหนึ่ง
[1] มีอีกชื่อว่า งิ้วคุนซาน (崑山腔) เป็นอุปรากรจีนประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดแถบเขาคุนซาน (崑山) เมืองซูโจว (蘇州)
[2] ศิลปะการแสดงพื้นบ้านของจีน ซึ่งมีรูปแบบการแสดงที่หลากหลาย ทั้งร้อง พูด รวมถึงเต้นรำ คล้ายกับการแสดง “ละครพันทาง” ของไทย
[3] สตรีสมัยโบราณที่หาเลี้ยงชีพด้วยการขับร้องเพลง แต่ไม่ได้ค้าประเวณี