เจ้าแม่มาจู่ เทพธิดาแห่งท้องทะเล (海神妈祖) เรื่องโดย แพนด้ากับกอไผ่ |
——หากกล่าวถึงชาวจีนโพ้นทะเลกลุ่มแรกๆ ที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ชาวฮกเกี้ยนคงเป็นกลุ่มหนึ่งที่หลายคนนึกถึง ชาวจีนกลุ่มนี้อพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนใหญ่มีบทบาทสำคัญทางการค้า นอกจากความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านี้นำติดตัวเข้ามาด้วย และมีอิทธิพลต่อชนพื้นเมืองในภายหลังก็คือ “วัฒนธรรม”
——วัฒนธรรมที่แพร่หลายมากที่สุดอย่างหนึ่งในหมู่ชาวฮกเกี้ยนคงหนีไม่พ้นวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับ “เจ้าแม่มาจู่” (妈祖) ชาวฮกเกี้ยนเชื่อว่าเจ้าแม่มาจู่เป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเลที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้คนที่สัญจรไปมาทางเรือ ดังนั้นจึงเป็นเทพที่ชาวประมง นักเดินเรือ และพ่อค้าวาณิชต่างให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแถบชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนอย่างมณฑลฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง รวมไปถึงในไต้หวัน ฮ่องกง และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
——ตามการเล่าขาน เจ้าแม่มาจู่เดิมชื่อ “หลินโม่” (林默) เกิดที่เกาะเหมยโจว (湄洲岛) มณฑลฮกเกี้ยน (福建 ฝูเจี้ยน) ใน ค.ศ. 960 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋 ค.ศ. 960–1127) บิดาชื่อหลินย่วน (林愿) แต่หากยึดข้อมูลตามสาแหรกตระกูลลิ้ม[1] กล่าวว่าบิดาชื่อ หลินเหวยเช่ว์ (林惟愨) มารดาแซ่หวัง (王氏) เล่ากันว่า หลินโม่มีความพิเศษติดตัวมาแต่กำเนิด ขณะที่คลอดออกมา ทารกน้อยไม่ร้องไห้เฉกเช่นเด็กคนอื่น แต่กลับมีอาการสงบนิ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อ “โม่” (默) หมายถึง เงียบ
——เมื่ออายุได้ 8 ปี ท่านได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กผู้ชาย มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดโดดเด่นกว่าผู้อื่น สามารถจดจำและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเติบโตขึ้น หลินโม่ตั้งปณิธานว่าจะกระทำแต่คุณงามความดี และคอยเป็นที่พึ่งช่วยเหลือผู้อื่น ท่านมีความสามารถทางด้านการแพทย์ จึงมักจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านอยู่เสมอ อีกทั้งยังสามารถพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้อย่างแม่นยำ คอยเตือนไม่ให้ชาวประมงออกเรือหากจะเกิดภัยอันตราย ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเธอมีญาณวิเศษสามารถหยั่งรู้ถึงภยันตรายได้ และยกย่องเธอว่าเป็น “เทพธิดา” หรือ “ธิดามังกร” หลินโม่ช่วยเหลือผู้คนเรื่อยมาจนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 987 ขณะอายุได้เพียง 28 ปี มีตำนานความเชื่อเล่าต่อกันมาว่า หลินโม่จากโลกนี้ไปเพื่อขึ้นสวรรค์ เล่ากันว่าท่านเดินขึ้นไปบนยอดเขาเหมยเฟิง (湄峰) และใช้ก้อนเมฆเป็นพาหนะลอยขึ้นสวรรค์ไป ซึ่งในขณะที่เหตุการณ์เกิดขึ้นนั้น ชาวบ้านต่างเห็นแสงสีรุ้งสวยสดงดงาม พร้อมกับได้ยินเสียงดนตรีไพเราะดังมาจากสวรรค์
——หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชาวประมงมักจะเห็นหลินโม่ในรูปลักษณ์ของเทพธิดาสวมอาภรณ์สีแดง คอยปกป้องคุ้มครองนักเดินเรือให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง จึงเป็นที่มาของความศรัทธาในหมู่พ่อค้า ชาวประมง หรือผู้ที่ต้องเดินทางโดยเรือ มีการสร้างศาลสำหรับกราบไหว้บูชาในหลายพื้นที่ เพื่อขอพรให้การเดินทางราบรื่น ปราศจากภัยอันตราย แรกเริ่มความเชื่อนี้เป็นเพียงความเชื่อในหมู่ชนพื้นเมืองแถบฮกเกี้ยนเท่านั้น ภายหลังเมื่อความศรัทธาเริ่มแพร่หลาย ประกอบกับได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า ผู้คนจึงเริ่มนับถือหลินโม่ในฐานะพระโพธิสัตว์หรือเทพแห่งท้องทะเล และเรียกขานท่านว่า “เจ้าแม่มาจู่”[2] นอกจากนี้ ยังมีตำนานเชิงอภินิหารเล่าเพิ่มเติมว่า เจ้าแม่มาจู่มีผู้ช่วยเป็นเทพ 2 องค์ คือ เทพตาทิพย์เชียนหลีเหยี่ยน (千里眼) และเทพหูทิพย์ซุ่นเฟิงเอ่อร์ (顺风耳) คอยค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล

ภาพมาจู่ประทานพร《妈祖赐福图》 จากเว็บไซต์ http://www.mazuworld.com/
——การนับถือเจ้าแม่มาจู่นั้นเริ่มแพร่หลายตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (宋 ค.ศ. 960-1279) ในสมัยนั้นการเดินทางติดต่อค้าขายทางทะเลกำลังเจริญรุ่งเรือง ราชสำนักจีนมีการส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีทางการค้ากับประเทศต่างๆ และเมื่อเกิดเหตุการณ์เสี่ยงอันตรายขณะเดินเรือเมื่อใด หากมีผู้รอดชีวิตมาได้ ก็จะเชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแม่มาจู่ช่วยเหลือไว้ ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จีนหลายพระองค์จึงพระราชทานฐานันดรศักดิ์เพื่อเป็นเกียรติยกย่องคุณความดีของเจ้าแม่มาจู่ไว้หลายกรณี เช่น ฟูเหริน (夫人 เป็นฐานันดรศักดิ์ของพระสนมชั้นเอกในราชสำนัก) เทียนเฟย (天妃 หมายถึง พระสนมแห่งสวรรค์) เทียนโฮ่ว (天后 หมายถึง ราชินีแห่งสวรรค์) และ เทียนโฮ่วเซิ่งหมู่ (天后圣母 หมายถึง พระแม่ศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์)
——ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ชาวจีนเริ่มอพยพออกไปตั้งรกรากในพื้นที่อื่น ทั้งในไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิธีการอพยพของชาวจีนเหล่านี้ก็หนีไม่พ้นการเดินทางทางเรือ ท่ามกลางความยากลำบากและอันตรายระหว่างการเดินทาง ความศรัทธาต่อเจ้าแม่มาจู่เป็นสิ่งหนึ่งที่ชาวจีนอพยพใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจให้อดทนฝ่าฟันอุปสรรคจนมาขึ้นฝั่งตั้งรกรากในดินแดนใหม่ จึงไม่น่าแปลกที่ความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าแม่มาจู่จะติดตัวชาวจีนเหล่านี้มาและแพร่หลายในภูมิภาคอื่นๆ ด้วย
——ในไต้หวัน ศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเจ้าแม่มาจู่มีมากกว่า 500 แห่ง ทุกปีจะมีการจัดพิธีกรรมบูชาอย่างใหญ่โตเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาวบ้าน ส่วนในประเทศไทยนั้น มีการสร้างศาลเจ้าสำหรับบูชาเจ้าแม่มาจู่ด้วยเช่นกัน คนไทยส่วนมากจะรู้จักเจ้าแม่มาจู่ในนาม “เจ้าแม่ทับทิม” ทั้งนี้ ความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าแม่ทับทิมในประเทศไทยอาจมีการผสมปนเปกันจากหลากหลายแหล่งที่มา นอกจากเจ้าแม่มาจู่แล้ว ยังมีเจ้าแม่ท้ายน้ำ (水尾圣娘) ซึ่งเป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวไหหลำ (海南 ไห่หนาน) และหากพื้นที่ใดมีหญิงที่กระทำคุณงามความดี เมื่อเสียชีวิตไปแล้วชาวบ้านก็จะยกย่องเป็นเทพ และสร้างศาลสำหรับบูชา อย่างเช่น เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (林府姑娘) เป็นต้น ซึ่งเทพเจ้าเหล่านี้แท้จริงมีที่มาแตกต่างกัน แต่ชาวไทยมักจะเรียกรวมกันว่า “เจ้าแม่ทับทิม” ชื่อนี้แรกเริ่มใช้เรียกเจ้าแม่ท้ายน้ำของชาวไหหลำ สำหรับสาเหตุที่เรียกว่าเจ้าแม่ทับทิมนั้นยังคงไม่แน่ชัด บ้างก็สันนิษฐานว่าเพราะเจ้าแม่ท้ายน้ำมีเครื่องประดับประจำพระองค์เป็นพลอยสีแดง บ้างก็สันนิษฐานว่ามีที่มาจากอาภรณ์สีแดงที่สวมใส่ ส่วนเจ้าแม่มาจู่นั้น เนื่องจากเป็นเทพธิดาเกี่ยวกับสายน้ำเช่นกัน ประกอบกับเชื่อว่ามักปรากฏกายในเครื่องแต่งกายสีแดงดั่งทับทิม คนไทยจึงเกิดความสับสน และเรียกปนเปกันในที่สุด สำหรับศาลที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเจ้าแม่มาจู่ ในประเทศไทยมีอยู่ที่ถนนจักรเพชร ย่านพาหุรัด และที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น วิธีแยกแยะความแตกต่างของศาลเจ้าทั้งสององค์พอมีข้อสังเกตได้ดังนี้
——1. ชื่อภาษาจีน ศาลเจ้าแม่มาจู่ในประเทศไทยจะมีป้ายกำกับว่า 妈祖 (อ่านว่า มาจู่) 天后圣母 (อ่านว่า เทียนโฮ่วเซิ่งหมู่) 天上圣母 (อ่านว่า เทียนซั่งเซิ่งหมู่) หรือบางแห่งเรียกว่า 七圣妈[3] (อ่านว่า ชีเซิ่งมา หรือชิกเซี้ยม่า ในสำเนียงแต้จิ๋ว) เท่านั้น นอกจากนี้คนแซ่ลิ้ม ยังใช้สรรพนามเรียกท่านว่า โกวบ้อ (姑母) อีกด้วย ส่วนศาลเจ้าแม่ท้ายน้ำมักจะสลักว่า 水尾圣娘 (อ่านว่า สุยเหว่ยเซิ่งเหนียง) หรือ 水尾娘 (อ่านว่า สุยเหว่ยเหนียง)

เจ้าแม่ท้ายน้ำ
——2. การแต่งกาย จุดสังเกตที่สำคัญขององค์เจ้าแม่มาจู่ คือ มักทรงมงกุฎแบบหมวกจักรพรรดิจีน ด้านหน้ามีสายร้อยลูกปัดห้อยลงมา ส่วนเจ้าแม่ท้ายน้ำจะทรงมงกุฎหงส์ประดับอัญมณีแบบชุดเจ้าสาวโบราณของจีน
——ปัจจุบัน เนื่องจากความศรัทธาในเจ้าแม่มาจู่เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง ทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคส่วนอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ประกอบกับมีการพัฒนาเป็นพิธีกรรมที่มีแบบแผนยึดถือทั่วกัน นับว่ามีความสำคัญทางจิตวิญญาณฝังลึกอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน ใน ค.ศ. 2009 องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโกจึงขึ้นทะเบียนให้ความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าแม่มาจู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
[1] อ้างอิงจาก สาแหรกตระกูลลิ้ม ฉบับปรับปรุงและจัดพิมพ์ใน พ.ศ. 2529 โดยสมาคมตระกูลลิ้มแห่งประเทศไทย《泰国西河林氏族谱》ซึ่งบันทึกไว้ว่า หลินย่วน (林愿) ทายาทตระกูลลิ้มสายฮกเกี้ยน-แต้จิ๋ว รุ่นที่ 18 เป็นเทียด (高祖父) ของหลินเหวยเช่ว์ (林惟慤) ทายาทรุ่นที่ 22 บิดาของเจ้าแม่มาจู่
*ตระกูลลิ้มสายฮกเกี้ยน-แต้จิ๋ว คือ สายทายาทลูกหลานของหลิ่มลก (林禄 หลินลู่ ค.ศ. 289–356) ผู้เป็นแม่ทัพสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก (东晋 ค.ศ. 317–420) หลังจากถึงแก่กรรม ได้รับพระราชทานยศเป็น จวิ้นอ๋องแห่งแคว้นจิ้นอัน (晋安郡王) (ปัจจุบันแคว้นจิ้นอันคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลฮกเกี้ยน) ภายหลังมีทายาทกระจายทั่วมณฑลฮกเกี้ยนและดินแดนเตี่ยซัว นับว่าเป็นปฐมบรรพชนของตระกูลลิ้มในพื้นที่แถบนี้ รวมทั้งชาวแซ่ลิ้มส่วนใหญ่ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน
[2] ชื่อ ‘เจ้าแม่มาจู่’ นี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามีที่มาอย่างไร โดยมีผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้บางกลุ่มสันนิษฐานว่า คำว่า ‘มา’ (妈) มาจากคำเรียกยกย่องหญิงที่มีความอาวุโส หรือ คำเรียกเทพธิดาในแถบมณฑลฮกเกี้ยน ส่วนคำว่า ‘จู่’ (祖) ซึ่งหมายถึง บรรพชน ผู้ริเริ่ม ผู้ก่อตั้ง หรือผู้เป็นใหญ่ อาจได้รับอิทธิพลจากชื่อเรียกของเจ้าแม่กวนอิม ที่ชาวจีนเรียกว่า กวนอินฝอจู่ (观音佛祖)
[3] ในประเทศไทยมีคำเรียกเจ้าแม่มาจู่ว่า 七圣妈 (อ่านว่า ชีเซิ่งมา แปลว่า เจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์องค์ที่ 7) เนื่องจากมีตำนานเล่าว่า หลินโม่มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นชาย 1 คน และหญิง 6 คน หลินโม่เป็นน้องสุดท้องคนที่ 7