—–หากพูดถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนอย่างขงจื่อ (孔子) เหลาจื่อ (老子) เมิ่งจื่อ (孟子) หรือแม้แต่สวินจื่อ (荀子) เชื่อว่าคนไทยหลายต่อหลายคนคงได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่มีบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีนอีกท่านหนึ่งที่ยังไม่ค่อยปรากฏสู่สายตาคนไทยและยังไม่ค่อยได้รับการพูดถึงเท่าใดนัก นั่นก็คือ ก่วนจ้ง (管仲) หรือก๋วนจื่อ (管子) —–ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ในสมัยชุนชิว (春秋 770-476 ก่อนคริสตกาล) รัฐฉี (齐国) มีอัครมหาเสนาบดีผู้เลื่องชื่อนามว่าก่วนจ้ง เขามีบทบาทสำคัญในการช่วยฉีหวนกง (齐桓公) เจ้านครรัฐฉีปกครองบ้านเมือง ส่งผลให้รัฐฉีในรัชสมัยของฉีหวนกงเจริญมั่งคั่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร รัฐอื่นๆ ต่างพากันมาเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกชนเผ่าอนารยะ นอกจากนี้ก่วนจ้งยังมีบทบาทในการปฏิรูปการปกครองและวางระบบกฎหมาย พัฒนาด้านการค้าพาณิชย์ และอีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่นของก่วนจ้งก็คือการก่อตั้งหอนางโลมหลวง (国营妓院) ซึ่งดำเนินการโดยรัฐและรายได้จากการใช้บริการก็เข้าสู่รัฐโดยตรง นี่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีนที่รัฐมีบทบาทในกิจการด้านนี้ —–ก่วนจ้ง (725-645 ปีก่อนคริสตกาล) เกิดในรัฐฉีสมัยชุนชิว บิดาแซ่ก่วน (管) มารดาแซ่จี (姬) ก่วนจ้งมีชื่อตัวว่าอี๋อู๋ (夷吾) ชื่อรองว่าจ้ง (仲) และสมัญญานามว่าจิ้ง (敬) พื้นเพเป็นคนอำเภออิ่งซ่าง (颍上) [1] ก่วนจ้งเกิดในครอบครัวผู้ดีตกยาก ฐานะทางบ้านยากจน แต่ละวันไม่เคยได้กินข้าวครบสามมื้อ แต่ความจนก็ไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้ในโชคชะตาชีวิต หากแต่เป็นแรงผลักดันให้เขามุมานะตั้งใจเรียน แสวงหาความรู้อยู่เสมอ รอคอยวันที่มีโอกาสแสดงความสามารถ —–ก่วนจ้งมีสหายตั้งแต่วัยเด็กอยู่สองคนคือเป้าซูหยา (鲍叔牙) กับเจ้าฮู (召忽) ทั้งสองคอยช่วยเหลือก่วนจ้งอยู่เสมอทั้งด้านกำลังทรัพย์และกำลังใจ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเป้าซูหยากับก่วนจ้งนั้นลึกซึ้งมาก ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่วัยเด็ก สองคนรู้ใจกันในทุกๆเรื่อง ก่วนจ้งเคยร่วมทุนทำการค้ากับเป้าซูหยา ทุกครั้งที่มีกำไรก่วนจ้งจะขอส่วนแบ่งมากกว่า แต่เป้าซูหยาก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย เพราะเห็นว่าก่วนจ้งลำบากยากจน ก่วนจ้งเคยรับราชการมาแล้วสามครั้ง แต่ถูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ปลดออก เป้าซูหยาไม่คิดว่าการที่ก่วนจ้งถูกปลดจากตำแหน่งเป็นเพราะไร้ความสามารถ แต่กลับเห็นว่าเป็นเพราะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นมองไม่เห็นคุณค่าและศักยภาพในตัวก่วนจ้งต่างหาก —–ก่วนจ้งเคยหนีออกจากสนามรบเมื่อครั้งเป็นทหารร่วมรบในสงคราม จนหลายคนกล่าวหาว่าเขาขี้ขลาด แต่เป้าซูหยากลับมองว่าก่วนจ้งเป็นคนกตัญญูต่อบุพการีจึงต้องรักษาชีวิตเพื่อกลับบ้านไปดูแลมารดาเฒ่า ในมุมมองของเป้าซูหยานั้นก่วนจ้งเป็นคนดีและมีความสามารถ ก่วนจ้งเองก็ยอมรับว่าเป้าซูหยาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและเข้าใจในตัวเขามากที่สุด จนถึงกับกล่าวออกมาว่า “ผู้ให้กำเนิดข้าคือบิดามารดา แต่ผู้ที่เข้าใจข้าคือเป้าซูหยา” —–ต่อมาก่วนจ้ง เป้าซูหยา และเจ้าฮูได้รับราชการเป็นขุนนางในราชสำนักของเจ้านครรัฐฉี ซึ่งขณะนั้นตรงกับรัชสมัยของฉีเซียงกง (齐襄公) แต่ฉีเซียงกงเป็นทรราช ประพฤติตนผิดทำนองคลองธรรม มัวเมาในโลกีย์ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหล่าปัญญาชนต่างมองเห็นว่าอนาคตรัฐฉีจะเกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน จึงทยอยกันอพยพหนีภัยออกจากรัฐฉี —–ก่วนจ้งเองก็มองเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน เขาคิดว่าบุคคลที่เหมาะสมจะขึ้นเป็นเจ้านครรัฐฉีองค์ต่อไป หากไม่ใช่องค์ชายจิว (公子纠) ก็ต้องเป็นองค์ชายเสี่ยวไป๋ (公子小白) จึงตกลงกันกับเป้าซูหยาว่าตนกับเจ้าฮูจะดูแลองค์ชายจิว ส่วนเป้าซูหยาให้ดูแลองค์ชายเสี่ยวไป๋ ในอนาคตไม่ว่าใครได้เป็นเจ้านครรัฐฉี ทั้งสามคนก็จะเอื้อโอกาสทางการเมืองให้แก่กัน —–ต่อมาไม่นานรัฐฉีเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ตามความคาดหมาย ก่วนจ้งกับเจ้าฮูพาองค์ชายจิวหนีไปยังรัฐหลู่ (鲁国) บ้านเกิดของพระชนนีองค์ชายจิว ส่วนเป้าซูหยาพาองค์ชายเสี่ยวไป๋หนีไปรัฐจวี (莒国) บ้านเกิดของพระชนนีองค์ชายเสี่ยวไป๋ ฉีเซียงกงถูกลอบปลงพระชนม์ รัฐฉีขาดผู้นำ เหล่าขุนนางเสียงแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์ชายจิวขึ้นครองราชย์ อีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์ชายเสี่ยวไป๋ขึ้นครองราชย์ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ท้ายที่สุดจึงตกลงกันว่าระหว่างองค์ชายจิวกับองค์ชายเสี่ยวไป๋ ใครกลับถึงรัฐฉีก่อน ผู้นั้นจะได้ครองราชย์ —–เมื่อทั้งสองฝ่ายทราบข่าวต่างพยายามรีบกลับรัฐฉีให้เร็วที่สุด ก่วนจ้งรู้ว่ารัฐจวีอยู่ใกล้รัฐฉี หากเทียบเวลาเดินทาง องค์ชายเสี่ยวไป๋จะต้องถึงรัฐฉีก่อนองค์ชายจิวอย่างแน่นอน ก่วนจ้งต้องการช่วยองค์ชายจิวให้ได้ขึ้นครองราชย์ จึงรีบไปดักลอบยิงธนูใส่องค์ชายเสี่ยวไป๋ แต่ลูกธนูกลับพลาดไปโดนรัดพระองค์ (เข็มขัด) แทน ด้วยความที่องค์ชายเสี่ยวไป๋ทรงพระปรีชา จึงทรงแสร้งว่าถูกลูกธนูยิง ก่วนจ้งสำคัญผิดว่าองค์ชายเสี่ยวไป๋ได้สิ้นพระชนม์แล้ว จึงกลับไปรายงานองค์ชายจิว องค์ชายจิวเข้าพระทัยว่าไร้เสี้ยนหนามแล้ว จึงค่อยๆ เสด็จกลับรัฐฉีอย่างสบายพระทัย เมื่อเสด็จกลับถึงพระราชวังกลับต้องทรงตกพระทัย เมื่อทรงพบกับองค์ชายเสี่ยวไป๋ที่ยังไม่สิ้นพระชนม์ และยังเสด็จกลับถึงพระราชวังก่อน จนได้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้านครรัฐฉีองค์ใหม่ทรงพระนามว่า ฉีหวนกง —–องค์ชายจิว เจ้าฮู และก่วนจ้งจึงหนีกลับไปรัฐหลู่อีกครั้ง ต่อมาฉีหวนกงทรงมีพระราชสาส์นถึงเจ้านครรัฐหลู่ให้สั่งประหารองค์ชายจิว เจ้านครรัฐหลู่ไม่อยากเสียสัมพันธไมตรีกับฉีหวนกง จึงสั่งประหารองค์ชายจิว ผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเจ้าฮูฆ่าตัวตายสนองพระเดชพระคุณองค์ชายจิวในฐานะผู้ดูแล แต่ก่วนจ้งกลับได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านเกิด และได้ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉีอีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า อันที่จริงแล้วผู้ที่ช่วยเหลือก่วนจ้งให้พ้นภัยครั้งนี้คือ เป้าซูหยา เพื่อนรักของก่วนจ้งและพระอาจารย์ของฉีหวนกงตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงเป็นเพียงองค์ชายเสี่ยวไป๋ โดยเป้าซูหยาได้กราบทูลฉีหวนกงว่า “ก่วนจ้งมีความสามารถรอบด้าน หากตายไปจะน่าเสียดายมาก เขามีคุณค่าหาได้ยากยิ่งในแผ่นดิน ควรให้โอกาสเขาช่วยพระองค์บริหารราชการแผ่นดิน” ฉีหวนกงตรัสว่า “จะให้ข้าไว้ใจมันได้อย่างไร ในเมื่อมันเคยยิงธนูหมายเอาชีวิตข้า ข้าเคียดแค้นชิงชังมันนัก” —–เป้าซูหยาจึงทูลกลับไปว่า “หากพระองค์ประสงค์เพียงแค่ปกครองรัฐฉี ข้าพระพุทธเจ้าพอจะช่วยพระองค์ได้ แต่หากพระองค์ต้องการให้รัฐฉีเป็นใหญ่ทั่วทั้งแผ่นดิน มีก่วนจ้งเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ช่วยพระองค์ได้ การที่ก่วนจ้งลอบสังหารพระองค์ ณ ตอนนั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ก่วนจ้งภักดีต่อนายคือองค์ชายจิว ใจก่วนจ้งมีเพียงองค์ชายจิวเท่านั้นแต่มาบัดนี้หากพระองค์ทรงไว้ใจและมอบหมายหน้าที่สำคัญให้แก่เขา ก่วนจ้งจะต้องภักดีต่อพระองค์ และทำทุกอย่างเพื่อรัฐฉีอย่างแน่นอน” —–เป้าซูหยายังทูลต่ออีกว่า “เมื่อพระองค์ทรงเป็นเจ้านครรัฐฉีแล้ว พระองค์ไม่ทรงควรยึดติดกับความแค้นในอดีต แต่ควรทรงพระดำริว่าจะทำเช่นใดให้รัฐฉียิ่งใหญ่ และอาณาประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข หากพระองค์ทรงแต่งตั้งก่วนจ้งเป็นอัครมหาเสนาบดี บรรดารัฐเพื่อนบ้านน้อยใหญ่ย่อมเลื่อมใสในพระองค์ที่ทรงใจกว้างอภัยโทษให้ผู้ที่เคยคิดร้ายต่อพระองค์” เมื่อฉีหวนกงได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็ไม่ติดพระทัยกับเรื่องราวในอดีตอีก จึงทรงอภัยโทษและแต่งตั้งก่วนจ้งเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉี —–ก่วนจ้งบริหารราชการแผ่นดินในฐานะอัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉีเป็นเวลายาวนานถึง 40 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจและการค้าเฟื่องฟู กฎหมายการปกครองมีระบบชัดเจน บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข จนมาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตก่วนจ้ง ซึ่งป่วยหนักด้วยโรคชรา ฉีหวนกงตรัสถามก่วนจ้งว่า “ท่านคิดว่าใครเป็นบุคคลที่เหมาะสมสามารถรับภาระอันหนักหน่วงเช่นท่านได้ เป้าซูหยาเหมาะสมหรือไม่” ก่วนจ้งกลับทูลตอบไปว่า “เป้าซูหยาเป็นคนดีและสะอาดบริสุทธิ์เกินไป เขาเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉีแทนข้าพระพุทธเจ้ามิได้หรอกฝ่าบาท” —–ด้วยความที่ฉีหวนกงพึ่งพิงก่วนจ้งมาโดยตลอด จึงไม่ได้บ่มเพาะขุนนางคนอื่นๆ ขึ้นมารับหน้าที่แทนก่วนจ้ง เมื่อก่วนจ้งถึงแก่อสัญกรรม ฉีหวนกงไม่อาจหาขุนนางแบบก่วนจ้งได้อีก ส่งผลให้รัฐฉีไม่อาจคงความเจริญมั่งคั่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ดังสมัยที่ก่วนจ้งยังมีชีวิตอยู่ —–จากเหตุการณ์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าก่วนจ้งเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะหลากหลาย จะว่าเป็นคนดีเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นคนเลวเสียทั้งหมดก็ไม่เชิง ลักษณะคล้ายจะเป็นบุคคลสีเทาเสียมากกว่า ซึ่งเป็นเหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่จิตใจยังคงมีรัก โลภ โกรธ หลง โดยเท่าที่ศึกษาจากชีวประวัติของก่วนจ้งแล้ว อุปนิสัยของก่วนจ้งนั้นพอจะสรุปคร่าวๆได้ดังนี้ —–เรื่องราวต่างๆ ที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สะท้อนให้เห็นว่าก่วนจ้งเป็นปุถุชนที่น่าค้นหาและเป็นนักปกครองที่ไร้คำจำกัดความ รอคอยให้อนุชนทั้งหลายได้ศึกษาและวิเคราะห์ถกเถียงกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด [1]อำเภออิ่งซ่าง (颍上) เป็นชื่ออำเภอหนึ่งของมณฑลอันฮุย (安徽省) ในปัจจุบัน เรื่องโดย แม็กกี้หมิง