ทำไมจึงเรียก “เสี่ยวเอ้อร์” ?
เสี่ยวเอ้อร์” (小二) หมายถึง บริกรเพศชายตามโรงเตี๊ยม โรงน้ำชา หรือศาลาพักม้า โดยรูปศัพท์ คำว่า “เสี่ยวเอ้อร์ จะแปลว่า “ลำดับที่สอง” ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับบริกรเลย แต่การเรียกขานเช่นนี้ก็เนื่องมาแต่จีนสมัยโบราณ การเรียกชื่อเสียงเรียงนามจะมีใช้กันก็แต่ในหมู่ขุนนางและชนชั้นสูงที่มีการศึกษาเท่านั้น
吃人嘴软,拿人手短 ใจอ่อนเพราะติดค้างบุญคุณ / 戴高帽子 ยกยอปอปั้น / 戴绿帽子 สวมเขา / 忍无可忍 สุดที่จะทน / 霎时间 ..ชั่วพริบตา…
- 吃人嘴软,拿人手短 ใจอ่อนเพราะติดค้างบุญคุณ,ไม่กล้าเอาผิดเพราะถูกติดสินบน - 戴高帽子 ยกยอ,ยกยอปอปั้น,อวย - 戴绿帽子 สวมเขา - 忍无可忍 สุดที่จะทน , หมดความอดทน - …霎时间… …ชั่วพริบตา… , …ในทันใด
“หลิ่มไต่คิม” ยอดจอหงวนแห่งประวัติศาสตร์แต้จิ๋ว
นับแต่ระบบการสอบคัดเลือกข้าราชการแบบเคอจี่ว์ เริ่มมีขึ้นในสมัยราชวงศ์สุย จนถึงการจัดสอบครั้งสุดท้ายในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งกินระยะเวลาราว 1,300 ปี หากอ้างอิงตามหลักฐานประวัติศาสตร์ที่ยังคงเหลืออยู่ให้สืบค้น มีบัณฑิตผู้สอบได้จอหงวนทั้งหมด 592 คน หนึ่งในนั้น คือ “หลิ่มไต่คิม”
เจ้าแม่มาจู่ เทพธิดาแห่งท้องทะเล (海神妈祖)
หากกล่าวถึงชาวจีนโพ้นทะเลกลุ่มแรกๆ ที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ชาวฮกเกี้ยนคงเป็นกลุ่มหนึ่งที่หลายคนนึกถึง ชาวจีนกลุ่มนี้อพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนใหญ่มีบทบาทสำคัญทางการค้า นอกจากความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านี้นำติดตัวเข้ามาด้วย และมีอิทธิพลต่อชนพื้นเมืองในภายหลังก็คือ “วัฒนธรรม”
สุสานพระเจ้าตากสิน ณ เถ่งไฮ่
พิพิธภัณฑสถานมณฑลยูนนาน (云南省博物馆) เป็นสถานที่รวบรวมวัตถุโบราณนานาชนิด อีกทั้งยังจัดแสดงสิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเพื่อเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ
“ลูกหมู” การค้าแรงงานจีนไปต่างประเทศ
คำว่า “ลูกหมู” (豬仔) มาจากไหน มีที่มาอย่างไร เหตุใดจึงมีประเด็นโยงใยไปถึงการค้าแรงงานจีนไปต่างประเทศได้ แม้แต่ในปัจจุบันยังปรากฏคำว่า “ลูกหมู” หรือ “แก๊งลูกหมู” (豬仔帮) บนหน้าหนังสือพิมพ์ยามที่กล่าวถึงเหล่ามิจฉาชีพชาวจีน ซึ่งเป็นถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความหมายเชิงลบและการดูถูกดูแคลน
Social Network