เจิ้งจวงกง
อธิราชจอมกลุทธ์สุดแกร่งแห่งยุคชุนชิวตอนต้น
เรื่องโดย เป่าหลัน

อนุสาวรีย์ 3 เสาหลักแห่งรัฐเจิ้ง (鄭氏三公像) ณ มณฑลเหอหนาน
——เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ “การจับโอรสสวรรค์เป็นตัวประกันเพื่อบงการเจ้าแคว้นต่างๆ” (挾天子以令諸侯) บุคคลที่ผู้คนมักนึกถึงคือโจโฉ (曹操 เฉาเชา ค.ศ.155–220) ขุนศึกซึ่งมีชีวิตระหว่างปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (東漢ค.ศ. 25–220) ถึงสมัยสามก๊ก (三國 ค.ศ. 220–280) ผู้ยึดอำนาจการปกครองจากจักรพรรดิฮั่นเซี่ยนตี้ (漢獻帝พระเจ้าเหี้ยนเต้ ค.ศ.181–234) และออกคำสั่งแทนพระองค์เสมือนตนเป็นผู้สำเร็จราชการ
——ทว่า กลยุทธ์แอบอ้างโอรสสวรรค์สั่งการเจ้าเมืองต่างๆ นั้น โจโฉไม่ได้เป็นต้นคิด หากแต่เอาเยี่ยงอย่าง
เจิ้งจวงกง (鄭莊公757–701 ปีก่อนค.ศ.) เจ้ารัฐเจิ้ง (鄭國)[1] รัชสมัยของเจิ้งจวงกงตรงกับช่วงเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์โจวตะวันตก (西周 1,046–771 ปีก่อนค.ศ.) สู่ราชวงศ์โจวตะวันออก (東周770–256 ปีก่อนค.ศ.)[2] หรือยุคชุนชิวตอนต้น[3] ซึ่งในยุคนี้ราชสำนักโจวเริ่มเสื่อมอำนาจ แคว้นต่างๆ ที่ปกครองตนเองจึงประกาศศักดาและขยายอาณาเขต จนเกิดการกระทบกระทั่งและต่อสู้แย่งชิงดินแดนกัน เจิ้งจวงกงได้อาสารวมศูนย์อำนาจไว้ที่ราชสำนักโจว ขณะเดียวกันก็มุ่งพัฒนารัฐเจิ้ง ปกครองและแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างชาญฉลาด จนรัฐเจิ้งเจริญรุ่งเรืองและมีแสนยานุภาพเหนือรัฐอื่นๆ กล่าวได้ว่า เจิ้งจวงกงเป็นที่ยำเกรงทั้งในฐานะผู้คุ้มครองและผู้คุกคามของราชสำนักโจว (周1,046–256 ปีก่อนค.ศ.)
——เจิ้งจวงกงทรงสืบราชสมบัติจากเจิ้งอู่กง (鄭武公 780–744 ปีก่อนค.ศ.) พระบิดา และขึ้นครองราชย์เมื่ออายุพระชนมายุย่าง 14 พรรษา ในเวลานั้นอำนาจทางการเมืองของเจิ้งจวงกงยังไม่มั่นคง อีกทั้งต้องเผชิญศึกสายเลือดเนื่องจากพระมารดาผู้ลำเอียงคอยเสี้ยมสอนองค์ชายต้วน (段 754 ปีก่อนค.ศ.–ไม่ทราบปีตาย) ผู้เป็นพระอนุชาให้เกิดความอิจฉาริษยา จนคิดการใหญ่กล้าท้าทายอำนาจโดยหวังแย่งชิงราชสมบัติ แม้เจิ้งจวงกงจะไม่พอพระทัย ก็ได้แต่กล้ำกลืนความขุ่นข้องหมองใจขณะเดียวกันก็รวบรวมไพร่พลและสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่รัฐเจิ้งอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง 722 ปีก่อนค.ศ. องค์ชายต้วนก่อการกบฏ ทว่าเจิ้งจวงกงก็สามารถปราบได้ทันท่วงที[4] ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ 35 พรรษา
——การที่พระมารดามีฉันทาคติ คอยตามใจและให้ท้ายองค์ชายต้วน ถือเป็นการกระทำที่เรียกว่าพ่อแม่รังแกฉัน เพราะส่งผลให้องค์ชายต้วนมีพฤติกรรมเหลิงอำนาจขาดมโนธรรมสำนึก แต่เจิ้งจวงกงพระเชษฐาผู้รู้เห็นเหตุการณ์กลับปล่อยปละละเลย ไม่คิดห้ามปรามมารดาจนเหตุการณ์บานปลาย
——มีเสียงวิจารณ์ของผู้คนในปัจจุบันว่าเจิ้งจวงกงทรงใช้กุศโลบายกับญาติสืบสายโลหิตอย่างมารดาและพระอนุชา เรียกได้ว่าเป็นแผนกลยุทธ์สรรเสริญเยินยอเพื่อเข่นฆ่า (捧殺) เพราะปล่อยให้พระอนุชาถูกพระมารดายุยงส่งเสริมจนไม่อาจแยกแยะถูกผิดได้ กลายเป็นคนที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีนิสัยก้าวร้าวและทะเยอทะยานถึงขั้นก่อการกบฏ เมื่อสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็ม เจิ้งจวงกง
ก็ลงมือกำจัดจนราบคาบ
——เจิ้งจวงกงทรงแสดงพระปรีชาในการปกครองบ้านเมืองมาตั้งแต่วัยเยาว์ ในยามอ่อนแอจะไม่ทำตัวโดดเด่นจนตกเป็นเป้าสายตา ทั้งยังทำตัวเหมือนเสือซ่อนเล็บ คือเก็บความรู้สึกไว้ และไม่ยอมแสดงความเก่งกล้าสามารถให้ปรากฏจนกว่าจะได้โอกาส พระองค์ทรงวางรากฐานอันมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า กำลังคนและกำลังทหาร หลักนิติธรรม ตลอดจนกฎระเบียบบ้านเมืองแก่รัฐเจิ้ง ส่งผลให้ราษฎรมีสภาพชีวิตที่อยู่ดีกินดี
——ด้วยเจิ้งหวนกง (鄭桓公 ไม่ทราบปีเกิด-771 ปีก่อนค.ศ.) ผู้มีศักดิ์เป็นพระอัยกาของเจิ้งจวงกงเคยดำรงตำแหน่งขุนนางระดับซือถู (司徒)[5] อีกทั้งพระบิดาก็เป็นขุนนางระดับชิงซื่อ (卿士)[6] ดังนั้นเจิ้งจวงกงเองจึงได้รับตำแหน่งขุนนางระดับชิงซื่อของราชสำนักโจวตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่เดิม แม้พระองค์จะช่วยจักรพรรดิโจวผิงหวาง (周平王 781–719 ปีก่อนค.ศ.) ปกครองบริหารบ้านเมือง แต่ขณะเดียวกันก็อ้างจากอำนาจของราชสำนักโจวบังหน้าเพื่อสั่งการลงโทษเจ้ารัฐอื่นๆ ที่ไม่ยอมมาเข้าเฝ้าโจวผิงหวาง ดั่งคำสั่งที่ว่า “ราชโองการปราบปรามผู้ไม่ยอมมาเข้าเฝ้า (จักรพรรดิโจว)” (王命討不庭) เพื่อสร้างความชอบธรรมและใช้เป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างรัฐซ่ง (宋) รัฐเว่ย (衛) รัฐเฉิน (陳) และรัฐไช่ (蔡) นอกจากนั้น เจิ้งจวงกงยังร่วมมือกับรัฐฉี (齊) และรัฐหลู่ (魯) เผด็จศึกชนเผ่าทางเหนือ ระหว่างที่เจิ้งจวงกงสร้างเสถียรภาพทางการเมืองแก่ราชสำนักโจว ก็ถือโอกาสนี้ช่วงชิงอำนาจจาก
โจวผิงหวางไปอย่างเงียบๆ ด้วย เช่น ส่งกองกำลังเข้ายึดเส้นทางคมนาคมสายหลักโดยรอบแอ่งลั่วหยางซึ่งมุ่งสู่ที่ราบภาคกลาง
——การแผ่อิทธิพลของเจิ้งจวงกงทำให้จักรพรรดิโจวผิงหวางเกิดความหวาดระแวง จึงทรงดำริจะแต่งตั้งเจ้ารัฐกว๋อตะวันตก (西虢) เป็นขุนนางชิงซื่อคู่กับเจิ้งจวงกงเพื่อถ่วงดุลแห่งอำนาจ เป็นเหตุให้เจิ้งจวงกงกริ้ว และถามคาดคั้นเอาความจริงจนจักรพรรดิโจวผิงหวางต้องปฏิเสธทันควัน และส่งพระโอรสไปเป็นองค์ประกันที่รัฐเจิ้งเพื่อให้เจิ้งจวงกงเลิกแคลงใจเรื่องนี้ และเจิ้งจวงกงก็ส่งพระโอรสไปเป็นองค์ประกันเช่นกัน เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเรียกว่า “การแลกองค์ประกันทางการเมืองระหว่างราชสำนักโจวกับรัฐเจิ้ง” (周鄭交質)[7]
——แม้ว่าการแลกเปลี่ยนตัวประกันทางการเมืองระหว่างรัฐในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องปกติ แต่การที่ราชสำนักซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจยอมแลกเปลี่ยนตัวประกันกับรัฐในอาณัตินั้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าราชสำนักโจวกำลังเสื่อมอำนาจ ตรงกันข้ามกับเจิ้งจวงกงที่เรืองอำนาจขึ้นเรื่อยๆ
——ครั้นจักรพรรดิโจวผิงหวางสวรรคต จักรพรรดิโจวหวนหวาง (周桓王 ไม่ทราบปีเกิด–697 ปีก่อนค.ศ.) ดำริจะแต่งตั้งกว๋อกง (虢公) แห่งรัฐกว๋อตะวันตกแทนที่ตำแหน่งของเจิ้งจวงกง แต่เมื่อเจิ้งจวงกงล่วงรู้ก็ได้ส่งทหารไปเกี่ยวต้นข้าวในพื้นที่รอบนอกของราชสำนักโจวมาเก็บไว้เป็นเสบียงอาหาร ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักโจวกับรัฐเจิ้งคลอนแคลน ในเวลาต่อมาเจิ้งจวงกงไปเข้าเฝ้าโจวหวนหวาง แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ เนื่องจากโจวหวนหวางยังคงเคืองที่รัฐเจิ้งปล้นเสบียงอย่างอุกอาจ เป็นเหตุให้เจิ้งจวงกงไม่เข้าเฝ้าจักรพรรดิโจวหวนหวางอีก แม้รัฐเจิ้งจะตกลงแลกเปลี่ยนที่ดินกับรัฐหลู่ก็ไม่ยอมถวายรายงาน ถือเป็นการหยามน้ำหน้าราชสำนักโจวยิ่งนัก
——เมื่อโจวหวนหวางเห็นว่าเจิ้งจวงกงกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ จึงตัดสินใจจะทำสงครามสั่งสอนเจิ้งจวงกงด้วยการยกกองทัพพันธมิตรโจมตีรัฐเจิ้ง ทว่าเจิ้งจวงกงกลับไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย ทั้งยังรับสั่งให้ขุนนางอย่างไจ้จ้ง[8]
(祭仲 743–682 ปีก่อนค.ศ.) และเกาฉีว์หมี (高渠彌ไม่ทราบปีเกิด–694 ปีก่อนค.ศ.) นำกองกำลังทหารเข้าสู่สนามรบจนสามารถเอาชนะกองทัพพันธมิตรของโจวหวนหวาง ในหน้าประวัติศาสตร์เรียกสงครามครั้งนั้นว่า “สงครามซีว์เก๋อ”[9] (繻葛之战)
——ระหว่างการรบ โจวหวนหวางถูกนายทหารใหญ่นามจู้ตาน (祝聃 ไม่ทราบปีเกิดและปีตาย) ยิงธนูเข้าที่แขน แม่ทัพรัฐเจิ้งเห็นว่าได้โอกาสเหมาะที่จะรีบกำจัดเสียตอนนี้ แต่เจิ้งจวงกงกลับสั่งให้หยุด แล้วกล่าวว่า “ทำผิดต่อผู้อาวุโสเป็นเรื่องยาก นับประสาอะไรกับการละเมิดโอรสสวรรค์เล่า? (犯長且難之,況敢陵天子乎?) ทั้งยังแสดงความเคารพอย่างสูงต่อโจวหวนหวาง ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับโจวหวนหวางในฐานะพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงอำนาจสูงสุดตามลำดับขั้นของสังคมศักดินาซึ่งปกครองตามระบบตระกูลแซ่[10] นอกจากนี้ เจิ้งจวงกงยังส่งไจ้จ้งไปเยี่ยมโจวหวนหวางเพื่อไถ่ถามอาการ และปลอบขวัญอีกด้วย ท่าทีดังกล่าวถูกต้องตามจารีตประเพณีเจ้าขุนมูลนายระบบโคตรวงศ์แบบจงฝ่า (宗法)[11] ช่วยสร้าง “ความชอบธรรม” ให้แก่เจิ้งจวงกง โดยไม่ถูกรัฐอื่นประณามว่าเป็นกบฏและตกเป็นเป้าโจมตี

——การที่ราชสำนักโจวแพ้สงครามครั้งนั้น ได้บั่นทอนอำนาจส่วนกลางและความน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่งรัฐบริวารต่างๆ เริ่มกระด้างกระเดื่องมากขึ้น หลังจากนั้นราชสำนักโจวก็สูญเสียอำนาจปกครองรัฐเหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงอำนาจในการกำหนดพิธีการและกฎเกณฑ์ตามจารีตประเพณีเท่านั้น ท่ามกลางสภาพบ้านเมืองซึ่งเจ้าผู้ครองรัฐต่างชิงดีชิงเด่นกัน การแข็งข้อของรัฐเจิ้งส่งผลให้นครรัฐอื่นๆ พากันตั้งตัวเป็นอิสระรบทัพจับศึกกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ นับเป็นในการเปิดฉากยุคสงครามระหว่างนครรัฐ บ้านเมืองจึงอยู่ในภาวะระส่ำระสายยาวนานกว่า 250 ปี
——เจิ้งจวงกงสวรรคตเมื่อ 701 ปีก่อนค.ศ. พระโอรสทั้ง 4 ของพระองค์เริ่มต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์โดยได้รับการหนุนหลังจากกองกำลังต่างๆ ตำแหน่งเจ้ารัฐจึงเปลี่ยนมืออยู่หลายครั้ง ความวุ่นวายภายในที่ยืดเยื้อนี้ได้ทอนกำลังของรัฐเจิ้งลงเรื่อยๆ และถูกรัฐหาน (韓國) ซึ่งเป็นรัฐที่ก่อตั้งใหม่เข้ายึดครองจนล่มสลายในที่สุด อย่างไรก็ตาม “เจิ้งจวงกง” ผู้เป็นบุคคลสำคัญแห่งยุคนั้น ยังคงได้รับการยกย่องในฐานะอธิราชจอมกลยุทธ์สุดแกร่งแห่งยุคชุนชิวตอนต้น
[1] รัฐในอาณัติแห่งราชสำนักโจวซึ่งเรืองอำนาจในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก และดำรงอยู่เป็นเวลา 431 ปี ก่อตั้งโดยเจิ้งหวนกง (鄭桓公 ไม่ทราบปีเกิด-771 ปีก่อนค.ศ.) เมื่อ 806 ปีก่อนค.ศ. มีราชธานีคือเมืองซินเจิ้ง (新鄭 พื้นที่มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) รัฐเจิ้งล่มสลายเมื่อ 375 ปีก่อนค.ศ.เนื่องจากถูกรัฐหาน (韓) ยึดครอง
[2] นักประวัติศาสตร์แบ่งราชวงศ์โจวออกเป็น “โจวตะวันตก” และ “โจวตะวันออก” ตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเมืองหลวงรัฐโจว เหตุการณ์สำคัญได้แก่ ราชสำนักโจวย้ายราชธานีไปยังเมืองลั่วอี้ (洛邑 เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) เมื่อ 771 ปีก่อนค.ศ. ซึ่งถือเป็นจุดจบของราชวงศ์โจวตะวันตก
[3] สมัยราชวงศ์โจวตะวันออกแบ่งออกเป็นยุคชุนชิว (春秋 770-476 ปีก่อนค.ศ.) และยุครณรัฐ หรือจ้านกั๋ว (戰國 475-221 ปีก่อนค.ศ.)
[4] เรื่องราว “เจิ้งจวงกง พิชิตองค์ชายต้วนที่เมืองเยียน” (鄭伯克段於鄢) มีบันทึกไว้ในคัมภีร์จั่วจ้วน《左傳》โดยจั่วชิวหมิง (左丘明 556-451 ปีก่อนค.ศ.)ขุนนางอาลักษณ์ผู้ดูแลการบันทึกประวัติศาสตร์แห่งราชสำนักรัฐหลู่ (鲁國)
[5] ตำแหน่งที่ดูแลด้านการอบรมสั่งสอนจริยธรรมแก่ราษฎรสมัยราชวงศ์โจว
[6] ข้าราชการผู้ดูแลด้านการทหาร ด้านการต่างประเทศ และด้านกฎหมาย
[7] 鄭武公、莊公為平王卿士。王貳於虢,鄭伯怨王。王曰“無之”。故周、鄭交質。
[8] จี้จ้ง (祭仲) ขุนนางคนสำคัญผู้มีอำนาจและอิทธิพลของรัฐเจิ้ง เดิมเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยที่คอยเฝ้าชายแดน จนกระทั่งเจิ้งจวงกงไปพบเข้าและเลื่อนตำแหน่งมาตามลำดับจนได้เป็นถึงเสนาบดี เขามีส่วนช่วยให้รัฐเจิ้งเจริญรุ่งเรืองในยุคชุนชิวตอนต้น
[9] สงครามซีว์เก๋อ (繻葛之战) คือสงครามที่รัฐเจิ้งซึ่งนำโดยเจิ้งจวงกงสามารถเอาชนะกองทัพพันธมิตรของราภชสำนักโจวที่เมืองซีว์เก๋อ (ปัจจุบันอยู่ตอนเหนือของเมืองฉางเก๋อ มณฑลเหอหนาน) เมื่อ 707 ปีก่อนค.ศ. (รัชศกปีที่ 13 ของจักรพรรดิโจวหวนหวาง)
[10] การสืบทอดวงศ์ตระกูลตามระบบตระกูลแซ่ โอรสองค์โตของมเหสีเอกได้สืบตำแหน่งกษัตริย์ (天子) ต่อจากบิดาในฐานะกุลทายาทเป็นมหาสาขาของราชวงศ์ (大宗) ส่วนโอรสองค์อื่นๆ เป็นสามนตราช (諸侯) ครองแคว้นต่างๆ ในฐานะอนุสาขาของราชวงศ์ (小宗) บุตรเอกคนโตของทุกแคว้นจะได้ครองแคว้นสืบต่อจากบิดาเป็นกุลทายาทและมหาสาขาของแคว้นตน บุตรคนอื่นๆ ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ (卿大夫) ในแคว้นเป็นอนุสาขา พร้อมทั้งได้ดินแดนส่วนหนึ่งในแคว้นเป็นเขต ศักดินาเก็บส่วย ตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ก็สืบไปทางบุตรเอกคนโตเป็นกุลทายาทและมหาสาขาของขุนนางผู้นั้น บุตรคนอื่นๆ เป็นขุนนางผู้น้อย (士) ได้รับเบี้ยหวัด ไม่มีเขตศักดินา เพราะขุนนางผู้ใหญ่ไม่มีสิทธิ์แบ่งดินแดนให้ผู้อื่นต่อ บุตรเอกคนโตของขุนนางผู้น้อยแต่ละคนเป็นกุลทายาทสืบตำแหน่งของบิดาต่อไป ส่วนคนอื่นๆ กลายเป็นสามัญชน (平民) (ถาวร สิกขโกศล,“แซ่และระบบตระกูลแซ่ของจีน” ก่อศักดิ์๖๐: นานาสาระสยาม-จีนวิทยา)
[11] จงฝ่า (宗法) เป็นระบบสังคมและการเมืองของจีนโบราณ ประกอบด้วยกฎระเบียบทางจารีตประเพณีของสังคมที่เกี่ยวกับระบบครอบครัวและแซ่ ซึ่งมีรากฐานมาจากระบบศักดินา แต่ละหน่วยทางสังคมจัดตั้งผูกพันกันทางสายเลือด มีประเพณีการเคารพบูชาบรรพชน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่จะกำหนดลำดับชั้นอำนาจภายในครอบครัวและในสังคมโดยรวม