ถนนโบราณฉีโหลว (海口骑楼老街)

 

 

     ถนนโบราณฉีโหลว (海口骑楼老街) เมืองไหโข่ว (海口) มณฑลไหหลำ (海南) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ประกอบด้วยถนนคนเดินหลัก 5 สาย ได้แก่ ถนนปั๋วอ้าย (博爱路) ถนนจงซาน (中山路) ถนนซินหัว (新华路) ถนนเต๋อเซิ่งซา (得胜沙路) และถนนเจี่ยฟ่าง (解放路) ฯลฯ แต่ละเส้นทางเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ทรงคุณค่าทางสถาปัตยกรรม มีการผสมผสานระหว่างการออกแบบผังเมืองดั้งเดิมของชาวจีนกับรูปแบบโครงสร้างอาคารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบชาวตะวันตก ได้รับการบูรณะและอนุรักษ์เป็นอย่างดี ทั้งบ้านพักอาศัย ร้านค้า ตึกที่ทําการ โรงแรม แหล่งบันเทิง หอนาฬิกา ศาลเจ้า และวัดอาราม ฯลฯ ถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ของชุมชนย่านการค้าแห่งเมืองท่าริมฝั่งแม่น้ำหนานตู้ (南渡江) เมื่อต้นศัตวรรษที่ 20 บอกเล่าวิถีชีวิตและเรื่องราวครั้งอดีตถึงคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน

 

  • ถนนโบราณสายสำคัญ
  1. ถนนปั๋วอ้าย (博爱路) มีความยาวประมาณ 800 เมตร กว้าง 12 เมตร เดิมมีชื่อว่าถนนหนานเป๋ยสั่ว (南北所路) เนื่องจากเคยเป็นทางสัญจรจากทางออกใต้ (南) ไปยังทางออกเหนือ (北) ที่สำคัญของเมืองเก่า ต่อมาเมื่อปีที่ 13 ของสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1924) เมืองไหโข่วได้รื้อกำแพงเพื่อขยายเมือง จึงเปลี่ยนชื่อถนนใหม่ คำว่าปั๋วอ้าย (博爱) มีความหมายว่า “ภราดรภาพ หรือ รักเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน” เพื่อรำลึกถึงจิตวิญญาณความเป็นนักปฏิวัติประชาธิปไตยของซุนยัตเซ็น (孫逸仙 หรือ 孙中山 ค.ศ. 1866-1925) ผู้เป็นที่เคารพรักของชาวจีน ทั้งฝั่งสาธารณรัฐประชาชนจีนบนแผ่นดินใหญ่ และฝั่งไต้หวัน เนื่องด้วยเป็นผู้นำในการปฏิวัติซินไฮ่เมื่อ ค.ศ. 1911 และโค่นล้มราชวงศ์ชิง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการปฏิวัติจีน
  2. ถนนจงซาน (中山路) มีความยาวรวมกว่า 300 เมตร เดิมมีชื่อว่าถนนหวนไห่ฟาง (还海坊) หลังจากขยายความกว้างของถนนเมื่อปีค.ศ. 1924 จึงเปลี่ยนเป็นชื่อถนนจงซานตามฉายานามของดร.ซุนยัตเซ็น เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ซุนยัตเซ็นเคยเดินทางมาเยี่ยมชมที่แห่งนี้
  3. ถนนเต๋อเซิ่งซา (得胜沙路) มีความยาวรวมกว่า 520 เมตร คำว่า “เต๋อเซิ่ง” (得胜) หมายถึง ได้รับชัยชนะ และคำว่า “ซา”  (沙) ในที่นี้หมายถึง ผืนดินทรายที่ติดริมทะเล เดิมทีที่นี่มีชื่อว่าถนนไว่ซา (外沙) และได้เปลี่ยนมาเป็นถนนเต๋อเซิ่งซาตั้งแต่ปีที่ 29 ของรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง (道光ค.ศ. 1782-1850) แห่งราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616 หรือ 1644-1911) เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์พิชิตข้าศึกศัตรู ที่ทหารและพลเรือนในท้องที่ต่อต้านการบุกรุกจากโจรสลัดญี่ปุ่นจนได้รับชัยชนะในที่สุด
    สมัยก่อนถนนเส้นนี้เคยเป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานของธนาคารกลางแห่งประเทศจีนประจำเมืองไหโข่ว (中国银行海口办事处), สำนักงานใหญ่องค์การโทรศัพท์ฉงหยา (琼崖电话总局) , โรงพยาบาลไห่หนาน (海南医院) เป็นต้น หลังจากเมืองไหโข่วถูกกำหนดเป็นเมืองท่าและเปิดเสรีการค้าต่างประเทศในยุคจักรพรรดิเสียนเฟิง (咸丰 ค.ศ. 1831-1861) แห่งราชวงศ์ชิง ประเทศต่างๆ ก็ได้เข้ามาจัดตั้งสถานกงสุลและสำนักงานต่างประเทศเพื่อขายสินค้า รวมทั้งห้างร้านบริษัท ถนนเต๋อเซิ่งซาจึงกลายเป็นแหล่งที่ตั้งถิ่นฐานของชาวตะวันตกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปีที่ 27 (ค.ศ. 1901) ของรัชสมัยจักรพรรดิกวางซี่ว์ (光绪 ค.ศ. 1871-1908) ยุคราชวงศ์ชิงตอนปลาย ชาวฝรั่งเศสได้สร้างโรงพยาบาลจีน-ฝรั่งเศส ณ ถนนเต๋อเซิ่งซา อีกทั้งยังมีการย้ายกรมศุลกากรจากถนนจงซานมายังถนนเต๋อเซิ่งซาในปีที่ 26  (ค.ศ. 1937) ของสาธารณรัฐจีน

 

นอกจากนี้ยังมีถนนซินหัว (新华路) ถนนเจี่ยฟ่าง (解放路) และถนนฉางถี (长堤路) ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 80,500 ตารางเมตร มีชื่อเลื่องลือว่าเป็นถนนโบราณที่ติดหนึ่งใน “สิบถนนสายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจีน” (中国十大历史文化名街) ด้วย

ถนนโบราณฉีโหลวถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่โด่งดังของเมืองไหโข่ว มีอาคารอนุรักษ์ที่ขึ้นทะเบียนว่ามีคุณค่าทางทางสถาปัตยกรรมกระจายอยู่ในท้องที่ทั้งหมด 336 หลัง ได้รับการยกระดับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 4A เมื่อเดือนเมษายน ปี 2024 (ข้อมูลจากเว็บไซต์รัฐบาลมณฑลไหหลำ)

 

  • มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

อาคารร้านค้าตามถนนคนเดินฉีโหลวส่วนใหญ่จะมีความสูง 2-3 ชั้น แต่ไม่เกิน 5 ชั้น โดยเป็นทั้งร้านค้าให้นักท่องเที่ยวเข้ามาซื้อของที่ระลึกและที่อยู่อาศัยในอาคารเดียวกัน ด้วยวัตถุประสงค์การใช้งานทั้ง 2 ประการ อาคารร้านค้าส่วนใหญ่จึงออกแบบเป็น “ด้านหน้าขายของ  ด้านหลังพักอาศัย” (前店后居) หรือ “ชั้นล่างขายของ ชั้นบนพักอาศัย” (下店上居) อีกทั้งถนนคนเดินฉีโหลวยังมีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยอยู่มาก เช่น วัฒนธรรมการกิน งิ้วไหหลำ เป็นต้น

คำว่า “ฉีโหลว”(骑楼)ภาษาจีนแปลตรงตัวว่า “อาคารคร่อม” เนื่องจากคำว่าฉี(骑)เดิมหมายถึง กริยาการนั่งคร่อมหลังม้า (เพื่อขี่ม้า) คำว่า โหลว(楼)หมายถึงอาคาร สิ่งก่อสร้าง มักใช้เรียกอาคารประเภทมีเสาตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้าของอาคาร มีหลังคาและผนังตกแต่งตามรูปแบบตะวันตกอย่างเรียบง่าย ซึ่งหลังคาเชื่อมกันเป็นแนวยาว ทำเป็นทางเดินหน้าอาคารมีหลังคาคลุม อาคารลักษณะนี้ส่วนใหญ่พบได้ในทางใต้ของจีน อาทิ มณฑลฝูเจี้ยน มณฑลกวางตุ้ง มณฑลกวางสี และมณฑลไหหลำ รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างแบบกรีก โรมัน และแบบจีน

เกี่ยวกับที่มาของอาคารฉีโหลว บ้างก็ว่าพัฒนามาจากรูปแบบที่อยู่อาศัยในท้องถิ่นที่เรียกว่า “จู๋ถ่งอู” (竹筒屋)บ้างก็ว่าได้รับอิทธิพลของการก่อสร้างจากตะวันตก โดยเฉพาะรูปแบบของอาร์เคด (Arcade ทางเดินมีหลังคาเป็นรูปโค้ง) อาจเป็นการก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างสภาพแวดล้อมแบบเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรปตอนใต้ที่ใกล้เคียงกับมณฑลกวางตุ้ง มีประเทศที่สำคัญ ได้แก่ โปรตุเกส สเปน ที่ขยายลัทธิล่าอาณานิคมเข้าไปในประเทศต่างๆ รูปแบบอาคารจากพื้นที่เหล่านี้ ได้ถูกผสานเข้ากับภูมิอากาศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และลักษณะการก่อสร้างในเขตหลิ่งหนาน จนกลายเป็นฉีโหลวที่เห็นกันในปัจจุบัน

 

เนื่องจากถนนโบราณฉีโหลวมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน จึงมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีอยู่หลายแห่ง ดังนี้

  1. คฤหาสน์สกุลเหอ (何家大院)

สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิกวางซี่ว์ของราชวงศ์ชิง ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 3,000 ตารางเมตร ตัวคฤหาสน์มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบจีนและตะวันตกรวมทั้งหมด 5 หลัง และมีสวนขนาดใหญ่อีก 2 แห่ง

 

 

  1. ตึก 5 ชั้น (五层楼)

เรียกอีกชื่อว่าอาคารไหโข่ว (海口大厦) เป็นอาคารจำลองแบบโรมันที่มีทั้งหมด 5 ชั้น ชั้นแรกมีไว้สำหรับร้านอาหารและห้างสรรพสินค้า ชั้น 2-5 มีไว้สำหรับห้องพักแขก และชั้น 4-5 มีไว้สำหรับโรงละคร ภัตตาคาร แหล่งบันเทิง ถือเป็นศูนย์รวมร้านอาหาร โรงแรมที่พัก สถานเริงรมย์สำหรับกิจกรรมความบันเทิงและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน

 

 

  1. อาคารกรมศุลกากร (海关大楼)

ตั้งอยู่เลขที่ 8 ถนนเต๋อเซิ่งซา สร้างขึ้นเมื่อค.ศ. 1937 ออกแบบโดยสถาปนิกอู๋จิ่งเสียง (吴景祥ค.ศ. 1905-1999) ใช้ทฤษฎีการออกแบบที่ไม่สมมาตร โดยมีห้องโถงและระเบียงทางด้านทิศใต้ และเฉลียงจากทางด้านทิศเหนือไปยังทิศตะวันตก อาคารหลักมีสามชั้น โดยมีบางส่วนที่สูงสุดถึงหกชั้น

 

 

  1. หอนาฬิกาไหโข่ว (海口钟楼)

สร้างขึ้นในปีที่ 18 ของสาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1929) รวมพื้นที่ทั้งหมด 16 ตารางเมตร มีทั้งหมด 5 ชั้น ตัวนาฬิกาจะตั้งอยู่ชั้นบนสุด แต่ละด้านของหน้าปัดนาฬิกามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เมตร ประกอบด้วยหินอ่อนหนา 2 เซนติเมตร จำนวน 7 ชิ้น ส่วนตัวเลขทุก 15 นาที (15, 30, 45, 60) จะสลักด้วยหินอ่อน ฝังด้วยตะกั่วและทาสีดำ