—–ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือระหว่างยุคกลางถึงปลายราชวงศ์ชิง ชาวจีนจำนวนมหาศาลหอบเสื่อผืนหมอนใบ จำใจจากบ้านเกิดไปแสวงหาลู่ทางทำมาหากินในต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับมาจุนเจือครอบครัวที่อดอยากแร้นแค้น ชาวจีนอพยพเหล่านี้ส่วนใหญ่ไร้ซึ่งทุนทรัพย์ งานที่ทำได้จึงหนีไม่พ้นงานรับจ้างกรีดยาง กรรมกรแบกหาม และคนงานเหมือง ต้องทำงานหนักจนสายตัวแทบขาด แม้รายได้ไม่มาก ทว่าความตั้งใจอันแข็งแกร่งที่จะส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวในดินแดนบ้านเกิดก็ไม่ได้เลือนหายไปแม้แต่น้อย ชาวจีนอพยพเหล่านี้ขยัน อดทน ยอมใช้ชีวิตอัตคัด เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ส่งกลับไปให้คนที่บ้านเกิดอย่างสม่ำเสมอ แต่ในยุคที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่เติบโตอย่างในปัจจุบัน การโอนเงินข้ามประเทศย่อมยากลำบาก ชาวจีนอพยพจึงต้องฝากเงินไปให้ทางบ้านพร้อมกับจดหมายที่เขียนบอกเล่าสารทุกข์สุกดิบ และระบบที่ชาวจีนอพยพส่งเงินแนบไปกับจดหมายนี้เองที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ ‘โพยก๊วน’
แผนที่แสดงเครือข่ายการส่งโพยก๊วน
—–ระบบส่งจดหมายแนบเงินระหว่างแผ่นดินใหญ่และดินแดนโพ้นทะเลดังกล่าว ภาษาจีนกลางเรียกว่า เฉียวพี (侨批) ‘เฉียว’ หมายถึงชาวจีนผู้อาศัยอยู่ในดินแดนนอกอาณาจักรจีน ส่วน ‘พี’ เป็นภาษาถิ่นจีนทางใต้หมายถึงจดหมายหรือการส่งจดหมาย ดังนั้นคำว่าเฉียวพีจึงมีความหมายตามตัวอักษรว่าการส่งจดหมายระหว่างประเทศของชาวจีนโพ้นทะเล แต่แทนที่จะส่งเพียงจดหมาย ชาวจีนอพยพยังจำเป็นต้องส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวได้มีกินมีใช้ด้วย โพยก๊วนจึงเป็นระบบส่งจดหมายพร้อมกับโอนเงินข้ามประเทศที่ดำเนินการกันเองในหมู่ประชาชน นี่เองคือเอกลักษณ์ที่ทำให้โพยก๊วนโดดเด่นและแตกแขนงออกมาจากระบบไปรษณีย์ทั่วไป ส่วนคำว่าโพยก๊วนที่คนไทยเรียกกันนั้น เป็นคำสำเนียงแต้จิ๋วของภาษาจีนคำว่า พีก่วน (批馆) ซึ่งหมายถึงร้านที่ทำหน้าที่รับส่งจดหมายแนบเงินนั่นเอง
—–กล่าวได้ว่าการอพยพของชาวจีนจำนวนมหาศาลและความรักความผูกพันที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน เป็นที่มาของการกำเนิดระบบโพยก๊วน ส่วนสาเหตุของการอพยพ ต้องย้อนมองไปถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ในสมัยนั้น
—–ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศจีนถูกรุกรานจากชาติตะวันตกและญี่ปุ่น บ้านเมืองวุ่นวาย เกิดสงครามกลางเมืองและสงครามกับต่างชาติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเกิดภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง ชาวบ้านส่วนมากซึ่งเป็นเกษตรกรจึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามปกติ เมื่อไม่มีผลผลิตก็ขาดรายได้มาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัว ประชาชนอดอยากแร้นแค้น ไร้ลู่ทางทำมาหากิน เป็นเหตุให้ชาวจีนจำนวนหนึ่งตัดสินใจออกเดินเรือไปยังประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อทำงานเก็บเงินและส่งเงินกลับมาเลี้ยงดูครอบครัวบนแผ่นดินจีนที่บ้านเกิด
—–ชาวจีนอพยพส่วนมากมีพื้นเพมาจากเมืองซัวเถา เมืองแต้จิ๋ว และพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งมีอาณาเขตติดทะเล ประกอบกับการขนส่งทางทะเลของจีนในสมัยนั้นเริ่มพัฒนา มีความปลอดภัยสูงขึ้น และค่าโดยสารถูกลง นอกจากนี้ ในค.ศ. 1860 จีนลงนามในสนธิสัญญาปักกิ่ง ส่งผลให้คำสั่งห้ามชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศเป็นโมฆะและทำให้จีนเปิดท่าเรือซัวเถาเพื่อการคมนาคมและค้าขาย ปัจจัยข้างต้นล้วนเอื้ออำนวยให้ชาวจีนทางใต้ออกเดินทางผ่านท่าเรือซัวเถามายังประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตัวอย่างจดหมายโพยก๊วน
—–ในช่วงแรก ชาวจีนอพยพใช้วิธีส่งจดหมายผ่านกะลาสีที่เดินเรือระหว่างแผ่นดินใหญ่และดินแดนโพ้นทะเล พวกนี้มักขนของขึ้นเรือไปขายในต่างประเทศเพื่อหากำไรส่วนต่างเล็กน้อย ปกติกะลาสีเหล่านี้จะเดินทางไปกลับฮ่องกงและมาเก๊าอยู่เป็นนิจ และนานๆ ครั้งจะเดินทางลงมาแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ชาวจีนอพยพต้องการฝากจดหมายกลับบ้านทุกเดือน หรือทุกเทศกาลสำคัญ ถึงจุดหนึ่งจำนวนจดหมายก็มากเกินความสามารถของกะลาสี พ่อค้าจีนที่เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีสาขาในต่างประเทศเกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกสินค้า หรือจำเป็นต้องเดินทางระหว่างประเทศอยู่แล้ว เช่น ร้านผ้า ร้านทอง หรือโรงสีข้าว จึงพัฒนาการส่งจดหมายแนบเงินให้เป็นระบบและเปิดเป็นร้านโพยก๊วนควบคู่กับธุรกิจของตนไปด้วย
—–องค์ประกอบในระบบโพยก๊วนแยกได้เป็น 3 ส่วน คือผู้ส่งจดหมาย ตัวกลาง (ร้านโพยก๊วนหรือกะลาสี) และผู้รับจดหมาย แน่นอนว่าเงินที่ชาวจีนอพยพทำงานหามาได้ต้องเป็นสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ซึ่งนำไปใช้ในประเทศจีนโดยตรงไม่ได้ โพยก๊วนจึงมีเอกลักษณ์ตรงที่ไม่มีการนำเงินออกนอกประเทศ แต่ใช้วิธีการดังนี้
- ผู้ส่งจดหมายต้องระบุชื่อที่อยู่ของทั้งผู้ส่งและผู้รับ รวมทั้งระบุจำนวนเงินเป็นสกุลหยวนไว้ในจดหมาย โดยจ่าหน้าซองและเขียนข้อความทั้งหมดเป็นภาษาจีน แล้วจ่ายเงินสกุลบาทให้ตัวกลางตามอัตราแลกเปลี่ยนของร้านโพยก๊วน (กรณีผู้ส่งไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านเขียนอักษรจีนไม่ได้ ตัวกลางก็มีบริการเขียนให้)
- ตัวกลางจะรวบรวมเงินที่รับฝากมาพร้อมจดหมายไปซื้อสินค้าท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ที่ต้องการขนกลับไปขายในประเทศจีน เช่น ทอง ผ้า ข้าวสาร เป็นต้น แล้วขนของขึ้นเรือกลับประเทศจีน สิ่งที่ขนส่งออกนอกประเทศจึงไม่ใช่เงินแต่เป็นสินค้า
- ตัวกลางจะขายสินค้าเหล่านั้นให้ได้เงินสกุลหยวนมา หักลบกำไรเป็นของตน แล้วนำเงินที่เหลือพร้อมจดหมายมอบให้ครอบครัวของผู้ส่ง ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในจดหมาย
- เมื่อปลายทางได้รับจดหมายแล้ว ผู้รับก็จะเขียนจดหมายตอบกลับว่าตนได้รับเงินแล้ว เป็นจำนวนเท่าไร ณ วันที่เท่าไร พร้อมบอกเล่าสารทุกข์สุกดิบ ตัวกลางก็จะนำจดหมายนี้กลับมาให้ผู้ส่งที่อยู่ในดินแดนโพ้นทะเลตามที่อยู่ที่เคยจ่าหน้าไว้
—–ในระยะหลังร้านโพยก๊วนใช้รหัสลับที่ระบุเป็นสิ่งของแทนจำนวนเงิน เช่น หมู 3 ตัว ข้าวเจ้า 2 ชั่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันในระบบโพยก๊วนเท่านั้น
—–เมื่อจดหมายส่งถึงประเทศจีนแล้ว ตัวกลางจะส่งมอบให้ผู้ส่งข่าวในท้องถิ่นทำหน้าที่นำจ่าย ผู้ส่งข่าวเหล่านี้มีเอกลักษณ์ คือต้องเดินเก่ง สู้งาน เพราะต้องเดินถามหาผู้รับตามที่อยู่หน้าซองทีละบ้าน และเดินทางวันละมากกว่า 50 ลี้ ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกก็ต้องไปส่งให้ถึงมือ เพราะรู้ดีว่าผู้รับกำลังเฝ้ารอจดหมายจากญาติและเงินที่ฝากกลับมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
รูปปั้นผู้ส่งข่าวที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โพยก๊วน มณฑลกวางตุ้ง
พร้อมของใช้จำเป็น 3 ประการ ได้แก่ ตะกร้าไม้สาน ถุงผ้าใบสีขาว และร่มกระดาษ
—–ด้วยบริบททางสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ชาวจีนที่อพยพออกไปหาเงินในต่างประเทศล้วนเป็นผู้ชายและหัวหน้าครอบครัว จึงมีผู้หญิงหลงเหลืออยู่ในเมืองแต้จิ๋วและซัวเถามากเป็นพิเศษ แม่บ้านเหล่านี้ไม่มีความรู้และไม่สามารถทำงานเลี้ยงชีพได้ มีประชากรถึงร้อยละ 70-80 ในแถบนั้นที่ต้องพึ่งการส่งเงินโพยก๊วน เมื่อเกิดสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1941 – 1945 การขนส่งทางทะเลถูกตัดขาด จึงมีผู้คนจำนวนมากในแถบนี้ต้องอดอยากล้มตายเพราะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากญาติที่อยู่ต่างแดน
—–เมื่อมองในมุมของร้านโพยก๊วน นอกจากจะได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารและส่งเงินกลับบ้านให้คนจีนด้วยกันเองแล้ว เงินที่รับฝากมาพร้อมจดหมายยังทำให้เจ้าของร้านโพยก๊วนมีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นด้วย และแม้ว่าเงินจำนวนมหาศาลนี้ต้องส่งผ่านหลายมือกว่าจะไปถึงครอบครัวที่อยู่ในประเทศจีน มองภายนอกแล้วมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการยักยอก หรือส่งเงินไม่ถึงมือผู้รับ ทว่าชาวจีนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยปรากฏการโกงเงินโพยก๊วนมาก่อน เพราะในเวลานั้นทุกคนประสบความลำบากร่วมกัน ย่อมทราบดีว่าเงินจำนวนนี้แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของคนที่ต้องจากบ้านไปลำบากที่ต่างแดน และมีคนในครอบครัวเขาอีกจำนวนมากที่รอคอยพึ่งพาเงินก้อนนี้ แม้เงินที่ส่งกลับมาแต่ละครั้งจะน้อยนิดแต่ก็มีค่ามหาศาล
—–หากวิเคราะห์คุณค่าเชิงวัฒนธรรมที่โพยก๊วนมีต่อสังคมจีนแล้ว เราจะเห็นว่าระบบโพยก๊วนเป็นการตอกย้ำอิทธิพลของความเชื่อลัทธิขงจื่อที่หลอมรวมอยู่ในวัฒนธรรมจีนให้เด่นชัด โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ทั้งห้า[1] ขงจื่อสอนว่านามเป็นตัวกำหนดหน้าที่ ได้นามเช่นไรก็ต้องปฏิบัติหน้าที่เช่นนั้น และขงจื่อเชื่อว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นพื้นฐานของสังคม เป็นบุตรต้องเชื่อฟังบิดา เป็นน้องต้องเคารพพี่ อันเป็นที่มาของการบูชาบรรพบุรุษ การเคารพผู้อาวุโส การซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อครอบครัว คนจีนจึงมีความเหนียวแน่นระหว่างเครือญาติ ช่วยเหลือเกื้อกูลคนใกล้ชิดกันอยู่เสมอ
—–ความเชื่อเหล่านี้สะท้อนออกมาในรูปของความรับผิดชอบ หน้าที่ และความกตัญญูที่ชาวจีนอพยพยังคงส่งเงินกลับไปให้ที่บ้านไม่ขาด แม้เมื่อพิจารณาสภาพความเป็นอยู่ และค่าตอบแทนที่ชาวจีนอพยพได้รับในต่างแดน บางคนก็ต้องอดอยาก บางคนก็ได้พบลู่ทางค้าขายจนทำให้ร่ำรวย จะเลือกละทิ้งหน้าที่แล้วเสวยสุขแต่เพียงผู้เดียวก็ย่อมได้ แต่ชาวจีนอพยพเหล่านี้ก็ยังคงรับผิดชอบครอบครัวในเมืองจีน ด้วยการเก็บออมและส่งเงินกลับไปยังประเทศจีนเป็นประจำ
—–นอกจากเงินเหล่านี้จะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ครอบครัวที่เมืองจีนแล้ว ยังปรากฏการบริจาคเงินผ่านระบบโพยก๊วนเพื่อสร้างสุสานให้บรรพบุรุษ แสดงออกถึงความกตัญญูและสะท้อนคติความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษได้อย่างชัดเจน
—–อีกทั้งยังปรากฏการบริจาคเงินผ่านระบบโพยก๊วนเพื่อบูรณะพัฒนาบ้านเกิดของตนที่เมืองจีน เช่น สร้างโรงเรียน สร้างถนน สร้างสะพาน อันเป็นความเชื่อตามพุทธศาสนานิกายมหายานในการสร้างถาวรวัตถุ สร้างประโยชน์ให้ชุมชน และอุทิศเพื่อส่วนรวม
—–ปัจจุบันชาวจีนในเมืองแต้จิ๋วและซัวเถายกย่องและเชิดชูเกียรติบรรพบุรุษที่อพยพไปทำงาน ณ ดินแดนโพ้นทะเลอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีเงินช่วยเหลือผ่านระบบโพยก๊วนคอยส่งมาจุนเจือ บรรพบุรุษของพวกเขาที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินจีนก็คงไม่รอดจากภาวะอดอยากในช่วงสงครามที่ผ่านมา นอกจากนี้จดหมายโพยก๊วนยังเป็นสื่อเชื่อมความผูกพันระหว่างครอบครัว ทำให้คนที่เคยใกล้ชิดได้ติดต่อสื่อสารถึงกัน ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาด้วยกัน และเฝ้ารอวันที่จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
—–ในสายตาของนักประวัติศาสตร์ จดหมายหนึ่งฉบับก็คือบันทึกประวัติศาสตร์หนึ่งเรื่อง ที่ถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนโพ้นทะเล และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นทั้งในประเทศจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังเป็นหลักฐานชั้นต้นที่บันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรง และบันทึกโดยคนที่มีชีวิตอยู่ในยุคนั้นจริงๆ
—–ด้วยคุณค่าหลากประการดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ยูเนสโกจึงขึ้นทะเบียนจดหมายโพยก๊วนให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (Memory of the World) เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 นอกจากนี้ในมณฑลกวางตุ้ง ก็มีพิพิธภัณฑ์โพยก๊วนอยู่ในศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเฉาซ่าน จัดแสดงนิทรรศการความเป็นมาของระบบโพยก๊วน พร้อมจดหมายโพยก๊วนฉบับจริง และหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโพยก๊วนไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา เพื่อตระหนักถึงคุณค่าของระบบโพยก๊วน และระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษในท้องถิ่นของตน
โพยก๊วนบนแผ่นดินสยาม
—–อาณาจักรอยุธยากับราชวงศ์หมิงมีสัมพันธไมตรีแน่นแฟ้นทั้งด้านการค้าและการทูต สองอาณาจักรเดินเรือแลกเปลี่ยนสินค้าและเครื่องบรรณาการระหว่างกันอยู่เป็นนิจ จึงเริ่มมีชาวจีนเข้ามาค้าขายและอาศัยอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร โดยส่วนมากประกอบอาชีพค้าขาย
—–เนื่องจากทางการไทยเห็นว่าคนจีนทำมาค้าขายเก่ง เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ จึงมีนโยบายให้สิทธิพิเศษกับชาวจีนมากกว่าชาติอื่น เมื่อมีชาวจีนอพยพเข้ามามากขึ้น ทางการไทยจึงตั้งหัวหน้าคนจีนพร้อมสถาปนาบรรดาศักดิ์เป็นขุนนาง บ้างมีหน้าที่ดูแลการค้าและเศรษฐกิจ บ้างบริหารจัดการและควบคุมคนจีนที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินสยาม ชาวจีนที่อพยพมาในระยะแรกนี้ค่อยๆผสมหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสังคมไทย อยู่ร่วมกันได้โดยไม่แปลกแยก
—–นอกจากนี้คนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ก่อนยังจัดเรือสำเภาไปรับแรงงานจีนเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ โดยไม่คิดค่าโดยสาร ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจในเมืองจีนยุคนั้นกำลังตกต่ำ คนจีนที่ประสบปัญหายากจนจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศไทย
—–แม้จะมีคนจีนในไทยจำนวนไม่น้อยรับราชการมีตำแหน่งใหญ่โต ทว่าภาพลักษณ์ของคนจีนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นคือชนชั้นแรงงานในสังคมไทย ชาวจีนที่อพยพเข้ามาส่วนใหญ่การศึกษาน้อยและไม่มีทุนทรัพย์ เข้ามาทำงานรับจ้างและกรรมกรแบกหาม แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ทำมาค้าขายจนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ชาวจีนเหล่านี้อาศัยรวมกันเป็นชุมชน มีศูนย์กลางอยู่บริเวณสำเพ็ง เยาวราช และเจริญกรุง ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก ค้าข้าว ค้าไม้ และเปิดร้านโพยก๊วนควบคู่ไปด้วย
—–ธุรกิจโพยก๊วนก็รวมตัวกันอยู่ในบริเวณเดียวกับชุมชนชาวจีน ระบบการส่งโพยก๊วนในประเทศไทยจะใช้วิธีรวบรวมจดหมายโพยก๊วนจากแต่ละจังหวัดเข้าเมืองกรุง แล้วค่อยส่งกลับไปประเทศจีนพร้อมกันทีละหลายพันฉบับ การส่งจดหมายตอบกลับจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาในประเทศไทยก็จะควบคุม ดูแล และนำจ่ายโดยคนจีนเอง เนื่องจากจดหมายและหน้าซองโพยก๊วนล้วนเขียนด้วยภาษาจีน อีกทั้งชื่อเรียกที่อยู่ร้านโพยก๊วนบนหน้าซองจดหมายก็เป็นที่รู้กันเฉพาะในหมู่คนจีนเท่านั้น
—–หลังคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวจีนในประเทศไทยมีความเป็นอยู่ดีขึ้น รายได้สูงขึ้นทั้งจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยและจากการขยันทำงาน อดทนอดออม การส่งโพยก๊วนก็ยิ่งพบเห็นได้มากขึ้น มีร้านโพยก๊วนที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลไทยมากถึง 58 ร้าน ส่วนมากดำเนินกิจการโดยคนจีนจากเมืองซัวเถา
—–ทางการไทยขณะนั้นไม่ได้ขัดข้องกับการส่งเงินกลับประเทศของชาวจีน ด้วยเห็นว่าเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษและรับผิดชอบครอบครัวของตนที่บ้านเกิด นอกจากนี้ยังอำนวยความสะดวกแก่ชาวจีนด้วยการตั้ง “ออฟฟิศไปรษณีย์ที่ 8” เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2450 ที่ริมถนนเยาวราช เพื่อบริการส่งจดหมายโพยก๊วนให้ชาวจีนโดยเฉพาะ อีกทั้งในเวลาต่อมายังจัดทำซองสำหรับส่งโพยก๊วนซึ่งพิมพ์ตราครุฑและตราไปรษณียากรราคา 15 บาทบนหน้าซอง เพื่อความเป็นระเบียบและสะดวกแก่ชาวจีนอีกด้วย
ซองโพยก๊วนพิมพ์ตราครุฑพร้อมตราไปรษณียากร
—–จากจดหมายราชการกระทรวงโยธาธิการที่นำทูลเกล้าฯ ในปี รศ. 126 (พ.ศ. 2450) พบว่าในเวลานั้นมีชาวจีนส่งจดหมายโพยก๊วนกลับประเทศมากถึงวันละ 6,500 ฉบับ ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 ปริมาณเงินส่งออกผ่านระบบโพยก๊วนคิดเป็นเงินไทยในสมัยนั้นมีมูลค่าสูงกว่า 16 ล้านบาท และยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนระหว่าง พ.ศ. 2470 – 2475 คนจีนในไทยส่งเงินกลับประเทศเฉลี่ยปีละ 26.2 ล้านบาท เนื่องจากในขณะนั้นประเทศจีนกำลังถูกญี่ปุ่นรุกรานอย่างหนัก จึงมีการระดมทุนไปช่วยเหลือด้านสงคราม และเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2489 – 2491 มีการส่งเงินจากไทยกลับจีนสูงถึงเดือนละ 25-30 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ประสบภัยสงคราม
—–หลังจากที่จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ สหประชาชาติประกาศต่อต้านคอมมิวนิสต์ ไทยจึงตอบสนองนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ทุกวิถีทาง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลไทยเริ่มเข้มงวดกับการควบคุมกิจการโพยก๊วนมากขึ้น ส่งผลให้ร้านโพยก๊วนลดปริมาณลง และลดจำนวนเงินส่งออกไปด้วย ผู้ประกอบการร้านโพยก๊วนหลายแห่งก็ผันตัวมาเป็นเจ้าของธนาคารพาณิชย์ในสมัยต่อมา
—–เมื่อไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้งใน พ.ศ. 2518 ชาวจีนอพยพจึงเดินทางไปมาหาสู่กับญาติที่แผ่นดินใหญ่ได้อีกครั้ง และหลังธนาคารพาณิชย์และระบบไปรษณีย์สมัยใหม่เข้ามาแทนที่ ร้านโพยก๊วนก็ลดบทบาทลงไปโดยปริยาย
[1] 五伦 คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคลตามคำสอนของขงจื่อ ได้แก่ กษัตริย์-ขุนนาง บิดา-บุตร สามี-ภรรยา พี่-น้อง มิตร-มิตร
เรื่องโดย จันทร์กระจ่างฟ้า
ภาพปก จากหนังสือ 东南来华人与侨批