ยอมนอนสุสาน ก็ไม่ค้างศาลเจ้าร้าง: ภาษิตจีนสอนใจให้รู้จักหลบหลีกเภทภัย
เรื่องโดย: กงจื่อเสียน

——จีนมีภาษิตชาวบ้านหรือถ้อยคำที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้วว่า “ยอมนอนสุสาน ก็ไม่ค้างศาลเจ้าร้าง” (寧睡荒墳,不宿破廟) เมื่อฟังดูแล้วอาจรู้สึกฉงนใจ เพราะเหตุใด “สุสาน” กลางแจ้งที่น่ากลัว ทั้งยังแฝงไว้ด้วยสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ จึงปลอดภัยกว่า “ศาลเจ้าร้าง” ซึ่งมีหลังคากันแดดกันฝน
——อันที่จริง สำนวนนี้สะท้อนภาพความปลอดภัยในสมัยโบราณของจีนได้เป็นอย่างดี ในอดีต การเดินทางไปต่างถิ่นค่อนข้างทุรกันดาร หากไม่ใช่ผู้ดีมีสกุล ก็อาจต้องเดินย่ำต๊อกแทนนั่งเกี้ยวหรือคานหาม และหยุดพักเหนื่อยเป็นระยะๆ ยิ่งกว่านั้น หากระหว่างทางไม่มีโรงเตี๊ยมสำหรับพักแรมก็จำต้องพักพิงตามสถานที่สาธารณะ และถ้ามีตัวเลือกเพียงแค่ “สุสาน” กับ “ศาลเจ้าร้าง” ชาวจีนกลับเลือกอย่างแรก เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้สามารถมองได้หลายแง่มุม
1. ภัยจากสิ่งก่อสร้างและสภาพแวดล้อม
——โครงสร้างอันทรุดโทรมของศาลเจ้าร้างที่ไม่ได้รับการบูรณะเป็นสาเหตุประการหนึ่งซึ่งไม่อาจมองข้าม ศาลเจ้าร้างมักถูกลมฝนเซาะวันแล้ววันเล่าจนสึกกร่อน คานหรือเสาไม้ภายในศาลย่อมผุพังไปตามกาลเวลา หากเกิดอุบัติเหตุฉับพลันก็อาจหลบหนีได้ไม่ทันการณ์
——ซ้ำร้าย ภายในศาลเจ้าร้างที่ไร้คนดูแลมักอับชื้น มีฝุ่นจับหนา เชื้อราแพร่พันธุ์ และสัตว์พิษแฝงตัว ซึ่งล้วนแต่เป็นอันตรายแก่สุขภาพอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนั้นสุสานกลางแจ้ง ซึ่งมีโครงสร้างที่ดูมั่นคง อีกทั้งมีอากาศถ่ายเทและทางหนีทีไล่จึงปลอดภัยกว่า
2. ความเชื่อเรื่องภูติผี
——หากพิจารณาในแง่คติความเชื่อ วัดหรือศาลเจ้าร้างซึ่งไร้ผู้คนกราบไหว้บูชามานาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยสิงสถิตย่อมละทิ้งสถานที่แห่งนั้น และอาจมีพลังงานร้ายหรือสิ่งลี้ลับอื่นๆ เข้าครอบครอง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดความอัปมงคลแก่ผู้ที่เหยียบย่าง
——ในทางกลับกัน แม้ว่าสุสานจะมีดวงวิญญาณสิงสถิต แต่มักเป็นดวงวิญญาณของชาวบ้าน บางรายอาจมีลูกหลานมาเซ่นไหว้เป็นครั้งคราว หากผู้ผ่านทางไม่กระทำการลบหลู่ หรือล่วงเกิน วิญญาณเหล่านั้นก็ไม่มีวันสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ที่กล้ำกราย ตรงกันข้าม บางครั้งผู้ผ่านทางอาจกราบไหว้ขอความคุ้มครองจากเจ้าของสุสาน เพื่อให้ตนแคล้วคลาดปลอดภัยได้อีกด้วย
——แง่มุมข้างต้น แม้จะช่วยอธิบายที่มาของสำนวนดังกล่าวได้บ้าง ทว่ากลับยังไม่ใช่สาระสำคัญเสียทีเดียว เพราะแก่นแท้ของภาษิตชาวบ้านนี้คือ “มนุษย์น่ากลัวกว่าผี” ยิ่งนัก
3. จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง
——ด้วยเหตุที่ทางการยังสอดส่องทุกข์สุขของราษฎรไม่ทั่วถึง จึงมักมีโจรผู้ร้ายชุกชุม คอยดักปล้นชิงสิ่งของมีค่าต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาลเจ้าซึ่งไม่มีนักพรตหรือภิกษุพำนักอยู่ และมักเป็นแหล่งกบดานของโจร ดังนั้นแม้ศาลเจ้าร้างจะมีห้องหับ กำแพง หรือหลังคาที่สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ชั่วคราวได้ แต่หากใครแวะพักโดยไม่สำรวจตรวจตราเสียก่อน ก็อาจเป็นภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของตน
——ส่วนสุสานแม้จะเงียบวังเวง และปราศจากผู้คนสัญจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืน แต่เป็นสถานที่ซึ่งโจรผู้ร้ายไม่คิดจะย่างกราย ต่อให้มีดวงวิญญาณเร่ร่อนอยู่บริเวณนั้น ก็ไม่อาจรังควานมนุษย์ได้
——จากสำนวนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สุสานซึ่งมีบรรยากาศชวนขนลุกขนชัน หรือผีสางคอยเขย่าขวัญ ยังไม่น่ากลัวเท่าใจคนที่ยากแท้หยั่งถึง
——นอกจากนี้ ยังมีภาษิตซึ่งชาวบ้านมักพูดติดปากอีกสำนวนหนึ่งคือ หนึ่งคนไม่เข้าศาลเจ้า (一人不入廟) สองคนไม่ดูบ่อน้ำ (二人不觀井) สามคนไม่โอบต้นไม้ (三人不抱樹) อันเป็นการเตือนสติให้คนเรารู้จักหลีกเลี่ยงเภทภัยเช่นกัน
——หนึ่งคนไม่เข้าศาลเจ้า: เนื่องด้วยภายในศาลเจ้าอาจเป็นแหล่งซ่องสุมของโจรผู้ร้าย หรือนักต้มตุ๋น หากเข้าไปตามลำพังย่อมสุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตราย นอกจากนี้ ในสมัยก่อนบางศาลเจ้าอาจมีเครื่องบูชาล้ำค่า หากสูญหาย ผู้ที่เข้าไปก็อาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่พึงปรารถนา สำนวนนี้มีเหตุผลคล้ายกับ “ยอมนอนสุสาน ก็ไม่ค้างศาลเจ้าร้าง” แตกต่างกันตรงที่ศาลเจ้าในที่นี้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นศาลเจ้าร้าง
——สองคนไม่ดูบ่อน้ำ: สื่อความหมายว่าให้ระมัดระวังและห้ามเข้าใกล้บ่อน้ำกับใครสองต่อสอง หากมีใครชวนไปดูบ่อน้ำ ก็ควรบ่ายเบี่ยง ทั้งนี้เพราะคนที่พลั้งเผลออาจถูกผลักตกบ่อ หรือไม่ว่าคนที่ตกบ่อจะเป็นใคร พลัดตกเองหรือมีคนจงใจผลัก คนที่อยู่ข้างบนก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเคราะห์หรือผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตกที่นั่งลำบากทั้งนั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงสถานที่หมิ่นเหม่เช่นนี้อย่างเด็ดขาด
——สามคนไม่ยกท่อนไม้: หากคนสองคนต้องการทำร้ายผู้อื่น ย่อมต้องเลือกสถานที่ลับตา ปราศจากผู้คนสัญจร บางครั้งอาจหาต้นไม้ใหญ่สักต้น แล้วออกอุบายให้ช่วยกันโอบลำต้นเพื่อวัดเส้นรอบวง แต่พอได้โอกาส สองคนที่คบคิดกันอาจเล่นทีเผลอ ลงมือจับอีกคนมัดติดกับต้นไม้ ในสถานการณ์สองต่อหนึ่งเช่นนั้น ย่อมไม่อาจหลบหนีได้โดยง่าย รวมไปถึงอีกสำนวนหนึ่งคือ สามคนไม่แบกต้นไม้ (三人不抬木) กล่าวคือ เมื่อคนสามคนร่วมมือแบกต้นไม้ อาจมีสองคนสมคบกันกลั่นแกล้ง เพื่อให้อีกคนต้องแบกน้ำหนักมากกว่า ผู้ถูกกลั่นแกล้งเลยต้องรับภาระเกินกำลัง จนเกิดอาการบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งถูกทำร้ายถึงชีวิต นอกจากนี้ยังสามารถตีความอีกแบบได้ว่า อาจมีคนใดคนหนึ่งกินแรงเพื่อน เพราะในสถานการณ์เช่นนั้นต่างคนต่างก็ไม่ทราบว่าตนแบกน้ำหนักเท่าไหร่ ต่างกับตอนแบกกันสองคน ภาษิตนี้จึงสอนให้รู้ว่า แม้จะอยู่กันแค่สามคน ก็ไม่อาจวางใจคนในกลุ่มได้อย่างสนิทใจ
——จากตัวอย่างภาษิตชาวบ้านข้างต้นจะเห็นได้ว่า ภาษิตชาวบ้านเหล่านี้ได้รับการสืบทอดมา เพื่อเตือนสติให้ผู้คนตระหนักถึงภัยที่แฝงอยู่ในจิตใจอันน่ากลัวของมนุษย์ และหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาท ปัญหา หรือข้อครหาที่กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ทั้งนี้เพื่อปกป้องตนเอง (自保) และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง (自清) ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ดังสำนวนโบราณที่ว่า “จิตใจทำร้ายผู้อื่นไม่ควรมี จิตใจระวังผู้อื่นไม่ควรขาด” (害人之心不可有,防人之心不可無)