เขตล่าสัตว์มู่หลานและพิธีล่าสัตว์ประจำราชสำนักชิง เรื่องโดย เดชาวัต เนตยกุล |
——เมื่อพูดถึงคำว่า ‘มู่หลาน’ (木蘭) หลายคนอาจจะนึกถึง ‘ฮวามู่หลาน’ (花木蘭) วีรสตรีจีนที่ปรากฏในบทร้อยกรองโบราณก่อนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในภายหลัง ทว่าคำว่า ‘มู่หลาน’ ในบทความนี้เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับฮวามู่หลานแต่อย่างใด สถานที่นี้มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า ‘เขตล่าสัตว์มู่หลาน’ (木蘭圍場) อันเป็นเขตล่าสัตว์ประจำราชวงศ์ชิง
——คำว่า ‘มู่หลาน’ (ภาษาแมนจู :ᠮᡠᡵᠠᠨ) ถอดเสียงมาจากภาษาแมนจู มีความหมายว่า ‘กิจกรรมล่าสัตว์ที่เลียนแบบเสียงกวาง’ ด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งชื่อสถานที่ดังกล่าวว่า ‘เขตล่าสัตว์มู่หลาน’ เขตล่าสัตว์นี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเหอเป่ย (河北省) คาบเกี่ยวเมืองเฉิงเต๋อ (承德市) กับเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน (內蒙古自治區) เป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชและสัตว์ป่านานาพรรณ แต่เดิมพื้นที่แห่งนี้มีชื่อว่า ‘ป่าสนพันลี้’ (千里松林) เคยเป็นเขตล่าสัตว์อุทยานหลวงประจำราชวงศ์เหลียว (遼 ค.ศ. 907-1125) ใน ค.ศ. 1681 จักรพรรดิคังซี (康熙 ค.ศ. 1654-1722) เสด็จประพาสตอนเหนือของประเทศจีน ผู้นำของกลุ่มคาหล่าชิ่น (喀喇沁) กลุ่มเอ๋าฮั่น (敖漢) และกลุ่มเวิงหนิวเท่อ (翁牛特) น้อมเกล้าฯ ถวายลานเลี้ยงสัตว์แด่จักรพรรดิคังซี พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ดูแลและอนุรักษ์พื้นที่ขนาด 14,000 ตารางกิโลเมตรนี้ให้เป็นเขตล่าสัตว์ประจำราชสำนักชิง และมีพระราชดำริให้จัด ‘พระราชพิธีล่าสัตว์ประจำสารทฤดู’ (木蘭行圍 หรือ 木蘭秋狝) ขึ้น ณ บริเวณนี้
——‘พระราชพิธีล่าสัตว์ประจำสารทฤดู’ เป็นหนึ่งในพระราชพิธีสำคัญประจำปีของราชวงศ์ชิง โดยทั่วไปจัดขึ้นในช่วงเดือน 7 ถึงเดือน 8 องค์จักรพรรดิทรงจัดพิธีล่าสัตว์ขึ้นเพื่อฝึกปรือกำลังทหาร โดยซ้อมจัดวางทหารทั้งแปดกองธงเช่นเดียวกับการรบจริง ทั้งนี้เหล่าพระราชโอรส พระราชธิดา พระราชนัดดา รวมถึงเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางคนสำคัญก็ตามเสด็จไปยังเขตล่าสัตว์มู่หลาน เพื่อเสริมทักษะการขี่ม้าและยิงเกาทัณฑ์ด้วย นอกจากจัดขึ้นเพื่อความบันเทิงแล้ว ยังเป็นกุศโลบายไม่ให้เหล่าทหารและชนชั้นสูงชาวแมนจูลืมรากเหง้าของตน ติดการกินหรูอยู่สบายจนเกินไป ยิ่งกว่านั้นยังเปิดช่องให้เหล่าพระโอรสแสดงความกล้าหาญและฝีมือกังฟูให้เป็นที่ประจักษ์แก่องค์จักรพรรดิ เพื่อสร้างโอกาสในการรับเลือกเป็นรัชทายาท
——นอกจากนี้แล้ว พิธีล่าสัตว์ประจำสารทฤดูนี้ยังมีความสำคัญทางการเมืองการปกครอง กล่าวคือ การที่เขตล่าสัตว์มู่หลานอยู่ที่เขตมองโกเลียใน ไม่ใช่เพราะมีความอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยสัตว์ป่าเท่านั้น แต่บริเวณนี้ยังคาบเกี่ยวระหว่างจีนกับมองโกล จักรพรรดิจึงทรงเรียกพบผู้นำชนเผ่าต่างๆ ของมองโกลได้โดยสะดวกเพื่อกระชับและพัฒนาความสัมพันธ์ของราชสำนักชิงกับชนเผ่าน้อยใหญ่ ซึ่งส่งผลให้เกิดความสงบสุขตามพรมแดนด้วย
——เขตล่าสัตว์มู่หลานมีพื้นที่กว้างขวางมาก จึงมีการแบ่งเขตล่าสัตว์เป็นเขตย่อยถึง 72 เขต แต่ละเขตมีประเภทของสัตว์แตกต่างกันไป ในการล่าสัตว์แต่ละครั้งองค์จักรพรรดิทรงเลือกเขตล่าสัตว์ย่อยที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ
——การล่าสัตว์ขององค์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ย่อมต่างจากการล่าสัตว์ของสามัญชน เพราะการล่าสัตว์ในแต่ละครั้งต้องใช้ไพร่พลและม้าจำนวนนับหมื่น พิธีล่าสัตว์นั้นแบ่งเป็นสี่ขั้นตอนหลัก ดังนี้
- ไล่ล้อม (布圍/撒圍) : ในยามห้า (五更 ช่วงเวลา 03.00-05.00 น. ) ทหารแปดกองธง หน่วยปืนไฟพยัคฆ์ รวมถึงชาวเผ่ามองโกลที่เข้าร่วมพิธีล่าสัตว์จะแบ่งเป็นสองกลุ่ม และกระจายกำลังกันออกไปไล่ล้อมต้อนสัตว์มายังใจกลางเขตล่าสัตว์นั้นๆ
- ชมการล้อม (觀圍/待圍) : ในขณะที่ไล่ล้อมอยู่นั้น ก็มีการล้อมม่านสีเหลืองในอีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เรียกว่า ‘เขตรับชม’ (看城) เพื่อให้จักรพรรดิรอทอดพระเนตรบรรดาสัตว์ที่ถูกต้อนมา นอกจากนี้จักรพรรดิยังทรงลงมือปรุงน้ำแกงพร้อมทั้งเนื้อสัตว์ด้วยพระองค์เอง และพระราชทานให้แก่เหล่าขุนนางในระหว่างที่รอการไล่ล้อมเสร็จสิ้น
- ล่าในวงล้อม (行圍) : ในขั้นตอนนี้จักรพรรดิทรงออกล่าสัตว์ด้วยพระองค์เอง โดยมีราชองครักษ์และข้าราชบริพารคอยติดตาม หลังจากล่าเสร็จแล้วก็เสด็จกลับมายังเขตรับชมเพื่อทอดพระเนตรการล่า รวมถึงความสามารถของเหล่าโอรสและขุนนางคนต่างๆ
- สิ้นสุดการล้อม (罷圍) : เมื่อการล่าสัตว์ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้วก็มีพระเมตตาให้ปล่อยสัตว์ออกไปสืบพันธุ์ หลังจากนั้นก็ปูนบําเหน็จตามความเหมาะสมให้แก่ผู้ที่ล่าสัตว์ได้ เมื่อสิ้นสุดพิธีล่าสัตว์ในตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์ ทั้งแสดงดนตรี ร้องรำทำเพลง การละเล่นมวยปล้ำ ฯลฯ
——ในช่วงเวลากว่า 140 ปีตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคังซีจนถึงจักรพรรดิเจียชิ่ง (嘉慶 ค.ศ. 1760-1820) มีการจัดพิธีล่าสัตว์ขึ้นทั้งหมด 105 ครั้ง ครั้งแรกเริ่มในสมัยจักรพรรดิคังซี ซึ่งพระองค์ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จนถือว่าพิธีล่าสัตว์เปรียบดังข้อบัญญัติของบรรพชน แต่เมื่อจักรพรรดิยงเจิ้ง (雍正 ค.ศ. 1678-1735) ขึ้นทรงราชย์กลับไม่ได้เสด็จเขตล่าสัตว์เลยสักครั้ง ‘บันทึกพระราชวังฤดูร้อนเฉิงเต๋อ’ (避暑山莊後序) พระราชนิพนธ์ในจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆 ค.ศ. 1711-1799) ชี้แจงสาเหตุที่จักรพรรดิยงเจิ้งไม่เคยเสด็จเขตล่าสัตว์ไว้ว่า “…การที่ข้าพเจ้าไม่ไปพระราชวังฤดูร้อนรวมถึงเขตล่าสัตว์มู่หลานนั้น เนื่องด้วยราชกิจรัดตัว จึงไม่ค่อยมีเวลา อีกทั้งข้าพเจ้ายังโปรดความสุขสบาย ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง ลูกหลานทั้งหลายจงปฏิบัติตามพระราชบิดาของข้าพเจ้า ฝึกปรือทักษะการต่อสู้ที่เขตล่าสัตว์มู่หลาน ไม่ลืมเลือนกฎบรรพชน…”
——ต่อมาจักรพรรดิเฉียนหลงทรงรื้อฟื้นพิธีนี้อีกครั้ง และมีการจัดขึ้นกว่า 40 ครั้ง จนกลายเป็นพิธีที่มีความสำคัญต่อการสืบทอดพระราชประเพณีของราชวงศ์ชิงอย่างยิ่ง ครั้นจักรพรรดิเจียชิ่งสืบราชสมบัติ ก็ทรงจัดพิธีนี้อย่างต่อเนื่อง ทว่าเมื่อถึงยุคของจักรพรรดิเต้ากวง (道光 ค.ศ. 1782-1850) ปีที่ 4 ก็ทรงออกราชโองการยกเลิกพิธีนี้[1] สาเหตุแท้จริงของการยกเลิกไม่เป็นที่ประจักษ์ แต่มีข้อสันนิษฐานว่า อาจเพราะพิธีล่าสัตว์เป็นพิธีที่ต้องใช้เงินจากท้องพระคลัง รวมถึงแรงงานจำนวนมาก ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ จักรพรรดิเต้ากวงทรงมีนิสัยมัธยัสถ์ จึงไม่ยินยอมสูญเสียเงินเพื่อการนี้ ดังนั้นพระราชพิธีดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง
——หลังจากราชสำนักชิงยกเลิกพิธีล่าสัตว์ไปแล้ว เขตล่าสัตว์มู่หลานก็กลายเป็นสถานที่รกร้าง และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้พื้นที่ได้ ในสมัยปลายราชวงศ์ชิงอยู่ๆ มีคำสั่งจากราชสำนักให้ตัดโค่นต้นไม้ทั้งหมดทิ้ง ท้องที่ซึ่งเคยสวยงามด้วยแมกไม้ก็แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งร้างธรรมดาแห่งหนึ่งเท่านั้น ต่อมาถึง ค.ศ. 1962 รัฐบาลจีนตัดสินใจก่อตั้งแหล่งอนุรักษ์ป่าไม้ขนาดใหญ่ ณ บริเวณนี้ ภายในระยะเวลาสิบกว่าปีเขตล่าสัตว์มู่หลานก็กลายเป็นผืนป่าด้วยฝีมือมนุษย์ (人工林場) และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ป่าไม้อันไพศาลได้รับการฟื้นฟูดุจดังอดีต ทุ่งหญ้าอันกว้างขวาง ภูผาที่เต็มไปด้วยบุปผชาตินานาพรรณรอต้อนรับนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมสถานที่อันเป็นแหล่งอนุรักษ์และเป็นอุทยานประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
สถานที่ท่องเที่ยวภายในเขตล่าสัตว์มู่หลานและย่านใกล้เคียง
——ถึงปัจจุบันจะไม่มีการจัดพิธีล่าสัตว์ขึ้นแล้ว แต่ชื่อของเขตล่าสัตว์มู่หลานก็ยังคงอยู่ ปัจจุบันเขตล่าสัตว์มู่หลานเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A ของประเทศจีน และยังกลายเป็นโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์และละครชุดที่สำคัญของจีนด้วย อาทิ ‘องค์หญิงกำมะลอ’ (還珠格格) ‘หมี่เยี่ย จอมนางเหนือมังกร’ (羋月傳) ‘ดาบแค้นสกุลจ้าว’ (趙氏孤兒) ฯลฯ ภายในลานสามารถแบ่งเขตชมทิวทัศน์เป็นสามเขตใหญ่ ดังนี้
- เขตชมทิวทัศน์ไซ่ห่านป้า (塞罕壩國家森林公園)
——ไซ่ห่านป้า (塞罕壩) เป็นภาษามองโกล หมายถึงยอดเขาสูงตระหง่าน เป็นส่วนหนึ่งของเขตล่าสัตว์มู่หลาน ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 4A ของประเทศจีน มีพื้นที่ถึง 1.42 ล้านไร่ ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘แหล่งธารากำเนิด บ้านเกิดหมู่เมฆา โลกหล้าของมาลี มหาสมุทรแห่งพงพี สุขาวดีแห่งการพักผ่อน’ จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงได้แก่ 1.แท่นคังซีบัญชาทัพ (康熙點將台) 2.ทะเลสาบแม่ทัพ (將軍泡子) 3.เจดีย์ไซ่ห่าน (塞罕塔) 4.ทะเลสาบสัตตดารา (七星湖)
- เขตชมทิวทัศน์อวี้เต้าโข่ว (御道口草原森林風景區)
——อวี้เต้าโข่วเป็นส่วนหนึ่งของเขตล่าสัตว์มู่หลาน มีเนื้อที่ 1,000 ตารางกิโลเมตร อุณหภูมิเฉลี่ย 5 องศาเซลเซียส ตั้งอยู่ทางทิศเหนือกับตะวันออกติดกับเขตไซ่ห่านป้า ด้วยความงามของธรรมชาติ ทิวทัศน์ที่ไม่เป็นสองรองใคร จึงมีนักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย ในเขตชมทิวทัศน์นี้มีกิจกรรมมากมาย อาทิ ขี่ม้า ดูนก ตกปลา เป็นต้น
—–จุดชมวิวที่มีชื่อเสียง เช่น 1.ทะเลสาบจันทรา (月亮湖) 2.ทะเลสาบดวงตะวัน (太陽湖) 3.ภูเขายาไต้ (壓岱山) ฯลฯ
- เขตอนุรักษ์ธรรมชาติหงซงวา (紅松窪國家自然保護區)
——เขตอนุรักษ์ธรรมชาติหงซงวาเป็นอีกส่วนหนึ่งของเขตล่าสัตว์มู่หลาน มีพื้นที่ 7,300 เฮกตาร์ มีเอกลักษณ์คือเป็นแหล่งพลังงานลมขนาดใหญ่ เนื่องด้วยมีการสร้างโรงไฟฟ้ากังหันลมขึ้นที่นี่ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงจามรีป่าเพื่อบริโภค เขตนี้อุดมด้วยพฤกษาและสัตว์นานาพรรณซึ่งนอกจากมีความสวยงามแล้ว ยังมีคุณค่าด้านเศรษฐกิจและงานวิจัยอีกด้วย
——กว่าเขตล่าสัตว์ประจำราชสำนักจะกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศจีนได้ จะต้องผ่านเรื่องราวดีร้ายต่างๆ มานับไม่ถ้วน แต่กาลเวลาก็ไม่ได้ทำให้ความโอ่อ่าตระการตาของเขตล่าสัตว์มู่หลานลดลงไปแม้แต่น้อย ความยิ่งใหญ่ ความสวยงามและคุณค่าของสถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวจีน และจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ตราบจนชั่วลูกชั่วหลานสืบไป
[1]อ้างอิงจากบันทึก พงศาวดารราชวงศ์ชิง เล่มที่ 17 บรรพที่ 17 (清史稿·卷十七·本紀十七)