ชามตราไก่:
สัญลักษณ์ศิลปะวัฒนธรรมจีนในต่างแดน
เรื่องโดย: พลพัธน์ ภูรีสถิตย์

รูปภาพจากเว็บไซต์ dhanabadee.com
——“ชามตราไก่” อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวที่ชาวไทยคุ้นตากันดีตามร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านข้าวต้ม ไม่เพียงเป็นเครื่องกระเบื้องเคลือบดินเผาที่เพิ่มความอิ่มเอมในการรับประทานอาหาร หรือสิ่งของที่ใช้ประกอบฉากในภาพยนตร์เพื่อสร้างบรรยากาศ เฉกเช่นที่ปรากฏในภาพยนตร์ฮ่องกงหลายเรื่อง หากแต่ยังเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมจีนซึ่งบอกเล่าเรื่องราว ความคิด และความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของชาวจีนหลายยุคหลายสมัย
——ต่อไปนี้จะขอนำทุกท่านไปทำความรู้จักกับประวัติของชามตราไก่ ประดิษฐกรรมอันยืนยงทรงคุณค่า และใช้กันแพร่หลายจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์โดดเด่นทั้งในจีนและในไทย
——ชามตราไก่ ภาษาจีนเรียกว่า “จีกงหว่าน” (雞公碗) หรือกงจีหว่าน (公雞碗) ตามหลักฐานที่มีบันทึกไว้กล่าวว่า ชามชนิดนี้แรกทำขึ้นในรัชศกเฉิงฮว่า (成化 ค.ศ. 1465–1487) แห่งราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368–1644) ริเริ่มขึ้นที่เมืองแต้จิ๋ว (潮州) มณฑลกวางตุ้ง (廣東) ก่อนจะแพร่หลายไปยังท้องถิ่นหลายแห่ง จนเป็นที่นิยมมากทางภาคใต้ของจีนแถบมณฑลฮกเกี้ยน (福建 ฝูเจี้ยน) และมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของชาวจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และฮากกา (客家 แคะ) อุตสาหกรรมชามตราไก่จึงเฟื่องฟูในท้องที่สองมณฑลนี้ ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616–1911) และสมัยสาธารณรัฐจีน (中華民國) การผลิตชามตราไก่เคยขยายตัวไปยังท้องที่มณฑลเจียงซี (江西) อันเป็นแหล่งผลิตเครื่องกระเบื้องเคลือบที่รุ่งเรืองที่สุดของจีน แต่การผลิตชามตราไก่ในเจียงซีกลับไม่ราบรื่นนัก เพราะต้องใช้เงินลงทุนมาก และไม่สามารถตั้งราคาสู้เครื่องกระเบื้องเคลือบต่างประเทศที่เข้ามาตีตลาดด้วยราคาที่ย่อมเยากว่าได้ แหล่งผลิตชามตราไก่จึงยังคงกระจุกกันอยู่แต่ในท้องที่มณฑลกวางตุ้งและมณฑลฮกเกี้ยนเท่านั้น
——แหล่งผลิตชามตราไก่ที่สำคัญในมณฑลฮกเกี้ยนคือตำบลขุยโต้ว อำเภออันซี จังหวัดเฉวียนโจว (泉州安溪縣魁斗鎮) ซึ่งดำเนินการผลิตชามชนิดนี้มาเนิ่นนาน ระหว่างทศวรรษ 1940–1950 ชามตราไก่กลายเป็นของใช้คู่บ้านแทบทุกหลังในจังหวัดเฉวียนโจว ส่วนในท้องที่มณฑลกวางตุ้ง ก็มีการผลิตชามตราไก่กระจายกันอยู่ในหลายแหล่ง กลุ่มคนที่นิยมใช้ชามตราไก่ในการกินอาหารคือชาวนา รวมทั้งพ่อค้าวาณิชตามแผงขายอาหารริมทาง ร้านค้า และตลาด นอกจากการผลิตในประเทศจีนแล้ว ยังมีการผลิตชามชนิดนี้เพื่อส่งออกไปยังประเทศที่ชาวจีนอพยพไปตั้งถิ่นฐานด้วย การผลิตชามตราไก่ในท้องที่ตำบลขุยโต้วมีบทบาทลดลงเมื่อทศวรรษ 1970 ขณะที่ผู้ผลิตชามตราไก่ในแหล่งอื่นยังคงสืบทอดกิจการมาจนถึงปัจจุบัน
——ลักษณะของชามตราไก่มีทั้งแบบเนื้อบางและเนื้อหนา แต่แบบเนื้อบางเป็นที่นิยมกว่า เพราะสีผิวของชามค่อนข้างขาวและสามารถเขียนลวดลายที่มีสีสันสวยงามได้ดี จึงมีราคาสูงกว่าแบบเนื้อหนา ชาวบ้านนิยมใช้ชามตราไก่แบบเนื้อบางในการรับแขกหรือในวาระสำคัญโดยเฉพาะ อนึ่ง ลายไก่ที่อยู่บนชามนั้น แต่เดิมช่างใช้วิธีวาดสดลงบนชาม แต่เมื่อกระบวนการผลิตมีลักษณะเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นปริมาณและประสิทธิผลในภายหลัง จึงได้เปลี่ยนเป็นการพิมพ์ลายไก่ด้วยเครื่องจักรลงบนชามแทน
⦿ ทำไมต้องเป็นรูปไก่?
——“ไก่” เป็นสัตว์เลี้ยงรุ่นแรกที่มนุษย์ทำให้เชื่องและเลี้ยงไว้ในครัวเรือน จึงมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับวิถีชีวิตและกระบวนการพัฒนาของสังคมจีน จากการค้นพบซากกระดูกไก่ตามแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในยุคหินใหม่ เช่น แหล่งอารยธรรมฉือซาน (磁山文化) หรือ แหล่งอารยธรรมหย่างเสา (仰韶文化) พิสูจน์ว่าการเลี้ยงไก่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปีตามลักษณะสังคมเกษตรกรรม (農耕社会) ตำนานเล่าขานว่า ครั้นเจ้าแม่หนี่วา (女媧) สร้างสรรพสิ่งบนโลก ในวันแรกได้สร้างไก่ขึ้น จากนั้นใช้เวลาเจ็ดวันสร้างสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดรวมถึงมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ชาวจีนโบราณจึงกำหนดวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินกสิกรรมให้เป็น “วันไก่” (雞日) ในวันนี้ ผู้คนจะงดเว้นการฆ่าไก่ และนิยมติดรูปไก่ไว้ที่ประตูบ้านเพื่ออัญเชิญความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองตลอดปี
——นอกจากนี้ไก่ยังพัฒนาเป็นองค์ประกอบทางวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ทางศิลปะที่สำคัญตามความเชื่อของคนจีน อาทิ
- กล่าวกันว่า “ไก่” เป็นร่างจำแลงของ “นกเนตรซ้อน” (重明鳥) หรือ “นกสี่ตา” สัตว์อิทธิฤทธิ์ในตำนานโบราณ เล่ากันว่ามีรูปร่างคล้ายเฟิ่งหวง (鳳凰 หรือนกฟีนิกซ์) มีนัยน์ตาข้างละสอง มีพลังเหนือธรรมชาติ สามารถพิชิตสัตว์ดุร้ายทั้งปวง จึงถือเป็นสัญลักษณ์ในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและเคราะห์ร้าย บ้างก็ทำเป็นเครื่องรางของขลังหรือเครื่องสืบวิญญาณ
- ไก่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสำหรับชนชั้นปกครอง ในสมัยราชวงศ์ซาง (商 1,600–1,046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) บางชนเผ่านับถือไก่เป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่า (Totem) เชิดชูให้เป็นดั่งบรรพบุรุษหรือผู้พิทักษ์ของเผ่านั้นๆ
- ไก่ยังถือเป็นของสิริมงคลสำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ มักใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้คู่กับหมูและเป็ด เรียกรวมกันว่า ซาแซ (三牲) โดยชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าไก่เป็นสัญลักษณ์ของความขยันและความก้าวหน้า
- ในแง่ของวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไก่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และเทพเจ้าแห่งการสืบพันธุ์ สื่อความหมายถึงการมีลูกหลานมากมายและพรอันล้นเหลือ และยังเป็นตัวแทนของแก่นแท้ในการบูชาความอุดมสมบูรณ์อีกด้วย
——กล่าวได้ว่า วัฒนธรรมไก่ได้รับการพัฒนาและเสริมสร้างวัฒนธรรมพื้นบ้านดั้งเดิมของจีนอย่างต่อเนื่อง จนก่อเกิดคติพื้นบ้านที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เช่น ชาวจีนมองว่าไก่เป็นสัญลักษณ์แทน คุณสมบัติห้าประการ (五德) ได้แก่
- ความรอบรู้ (文德) เนื่องจากหงอนไก่มีลักษณะคล้ายกับหมวกขุนนางฝ่ายพลเรือนในสมัยโบราณ
- ความช่ำชองยุทธ์ (武德) เนื่องจากไก่มีกรงเล็บและเดือยไว้ป้องกันตัว และมีท่าทางสง่าผ่าเผยในยามชูคอและยืดอกขณะต่อสู้ ดูองอาจดั่งจอมทัพในสนามรบ
- ความแกล้วกล้า (勇德) เนื่องจากไก่เป็นสัตว์ที่ห่วงลูก เมื่อถูกคุกคามก็พร้อมจะขันสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญทันที
- ความโอบอ้อมอารี (仁德) เนื่องจากพฤติกรรมของไก่ในยามคุ้ยเขี่ยอาหารกินนั้น มักแบ่งปันอาหารให้ตัวอื่นกินด้วย
- ความซื่อตรงและไว้ใจได้ (信德) เนื่องจากไก่เป็นสัตว์ที่ขันบอกยามใกล้รุ่งได้ตรงเวลา
——ด้วยเหตุนานัปการนี้ ไก่จึงเป็นสัตว์ที่ได้รับเลือกให้ปรากฏโฉมบนชามกระเบื้องมานานหลายศตวรรษ นอกจากรูปลักษณ์ของไก่แล้ว ชาวจีนยังนิยมวาดภาพดอกไม้บานสะพรั่งประดับบนชามด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับคำมงคลตามวัฒนธรรมจีนที่กล่าวไว้ว่า “ดอกไม้บานนำมาซึ่งความมั่งคั่ง” (花開富貴) อนึ่ง ชามตราไก่แต่เดิม มักเขียนสีตัวไก่ด้วยสีแดงและดำ ทว่าตั้งแต่ ค.ศ. 1962 เป็นต้นมา มีการแต่งแต้มสีเขียวและน้ำเงินบนลายหางไก่ด้วย หลังจากชามตราไก่กลายเป็นสินค้าข้ามพรมแดนที่สร้างชื่อระดับโลกแล้ว ยังมีการนำวัสดุอย่างอื่น เช่น ทองคำ มาใช้ในการผลิตชามตราไก่เกรดพรีเมียม
⦿ สู่ดินแดนโพ้นทะเล
——เมื่อชาวจีนย้ายถิ่นออกนอกประเทศด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ก็มีการส่งออกชามตราไก่ไปจำหน่ายเป็นของใช้ในครัวเรือนชาวจีนโพ้นทะเลด้วย ชามตราไก่ที่เป็นสินค้าออกนั้นมีราคาย่อมเยา ในสยามช่วงตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ถึงต้นรัชกาลที่ 9 (ราว ค.ศ. 1910–1949) บริษัทนำเข้าสินค้าต่างประเทศรายใหญ่หลายรายย่านราชวงศ์และทรงวาดในกรุงเทพฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายชามตราไก่ในราคาถูก ส่วนในสิงคโปร์เมื่อทศวรรษ 1960 ชามตราไก่ที่จำหน่ายตามร้านค้าก็มีราคาไม่แพง กล่าวคือมีราคาเพียงใบละ 10 เซนต์เท่านั้น ในมาเลเซียและอินโดนีเซียก็เช่นเดียวกัน ชามชนิดนี้จึงเป็นที่รู้จักแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชามตราไก่ที่นำเข้ามายังภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่เป็นชามที่ผลิตโดยชาวจีนฮากกาในมณฑลกวางตุ้ง
——ท่ามกลางกระแสนิยมเกี่ยวกับชามตราไก่ซึ่งเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญเกิดขึ้นที่ประเทศไทย ในค.ศ. 1955 นายซิมหยู แซ่ฉิน (陳森裕)[1] ได้ค้นพบแร่ดินขาวครั้งแรกที่บ้านปางค่า อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง ต่อมาได้ร่วมกับเพื่อนชาวจีนฮากกาที่อพยพมาจากอำเภอต้าผู่ (大埔縣) ก่อตั้งโรงงานทำชามตราไก่แห่งแรกซึ่งเป็นเตาฟืนโบราณ (Dragon Kiln) ของจังหวัดลำปาง และคงกรรมวิธีการผลิตตามแบบดั้งเดิมอยู่ เมื่อกิจการเจริญขึ้น จึงก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมชื่อ “โรงงานธนบดีสกุล” ขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1965 การริเริ่มประกอบธุรกิจผลิตชามตราไก่ที่จังหวัดลำปางถือเป็นจุดกำเนิดของเซรามิกและ “ชามตราไก่”ที่เป็นเอกลักษณ์ของลำปางมาถึงปัจจุบัน
——ในปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี (Dhanabadee Ceramic Museum)[2] ณ จังหวัดลำปาง ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ที่ได้รวบรวมองค์ความรู้ด้านเซรามิก ทั้งรูปแบบการผลิตแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่ ประวัติศาสตร์และพัฒนาการของชามตราไก่ รวมทั้งภูมิปัญญาการออกแบบและการเขียนลวดลายต่างๆ ซึ่งสะท้อนความเชื่ออันเป็นนิมิตหมายที่ดีของชาวจีนว่า ไก่เสมือนนาฬิกาปลุกธรรมชาติของมนุษย์ คอยปลุกทุกคนให้ตื่นด้วยเสียงขันอันดังก้องด้วยพละกำลังอันเต็มเปี่ยม บ่งบอกการเริ่มต้นวันใหม่แห่งการทำมาหากิน ดังนั้น ชามตราไก่จึงได้รับการขนานนามว่า “ชามสร้างตัว” (起家碗) อันสื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองของครอบครัว ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การที่ “ชามตราไก่” ได้รับการยอมรับจากหลากหลายบ้านเรือนในต่างถิ่น ทำให้วัฒนธรรมจีนที่เกี่ยวข้องได้รับการต่อยอดราวกับได้ค้นพบบ้านหลังที่สองอันอบอุ่นในต่างแดน

พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี (รูปภาพจากเว็บไซต์ dhanabadee.com)
——ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้ชามตราไก่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ก็เนื่องมาจากภาพยนตร์ภาษากวางตุ้งในยุคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกงเฟื่องฟูระหว่างทศวรรษ 1950–2000 ชามตราไก่ซึ่งเป็นของใช้ที่มีอยู่แทบทุกครัวเรือนในฮ่องกงเวลานั้นกลายเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ย้อนยุคและร่วมสมัยหลายเรื่อง ซึ่งสะท้อนชีวิตของชาวบ้านหรือประชาชนทั่วไป (ยกเว้นเรื่องที่โครงเรื่องหลักเกี่ยวพันกับราชสำนักและคฤหาสน์ขุนนางชั้นสูงในอดีต) เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย ราคาถูก มีรูปทรงสีสันสะดุดตา ผู้ผลิตละครโทรทัศน์รายใหญ่ของฮ่องกงอย่าง TVB (無綫電視 Television Broadcasts Limited) เริ่มใช้ก่อน และต่อจากนั้น ชามตราไก่ก็ไปปรากฏในภาพยนตร์ฮ่องกงอีกหลายเรื่อง เช่นภาพยนตร์ตลกของโจวซิงฉือ (周星馳) ชามตราไก่โผล่มาในหลายฉากจนกลายเป็นสิ่งที่ติดตาในภาพยนตร์ของโจวซิงฉือไปโดยปริยาย

ภาพชามตราไก่ จากภาพยนตร์《賭城大亨》
——นอกจากคุณประโยชน์ในเชิงสินค้าอุตสาหกรรมแล้ว ชามตราไก่ยังมีคุณค่าในฐานะ “ของสะสม”ชามตราไก่ที่เป็นของสะสมนั้นมักเป็นชามตราไก่ในอดีตที่ทำด้วยมือ ตัวไก่เป็นลายวาดด้วยมือที่มิใช่กระดาษลอกลาย นักสะสมที่เก็บรักษาชามตราไก่ไว้มีจำนวนไม่น้อย ในขณะที่สำหรับร้านอาหารหลายแห่ง ชามตราไก่ที่เก่าลายครามย่อมเป็นเครื่องยืนยันเกียรติคุณของร้านอาหารแห่งนั้นๆ ที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน
——ปัจจุบันนี้ คุณประโยชน์และคุณค่าของชามตราไก่ มิได้เป็นเพียงภาชนะเครื่องใช้ในครัวเรือนเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนภูมิปัญญา ศิลปะ และความเชื่อที่สืบทอดจากบรรพชน ลวดลายมงคลและเรื่องราวที่ประดับอยู่บนชามได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมจีน แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป ชามตราไก่ก็ยังคงคุณค่าคู่ครัวเรือน พร้อมก้าวสู่อนาคตโดยไม่หยุดยั้ง
[1] อาปาอี้ หรือซิมหยู แซ่ฉิน ช่างปั้นดินเผาชาวฮากกา เกิดเมื่อ ค.ศ. 1911 ณ อำเภอต้าผู่ มณฑลกวางตุ้ง (廣東省大埔縣) ในปีค.ศ. 1947 อพยพผ่านเวียดนามมาลงหลักปักฐานที่ฝั่งธนบุรี ของกรุงเทพมหานคร และใน ค.ศ. 1950 ได้ย้ายถิ่นฐานตามเพื่อนไปทำเซรามิกทางภาคเหนือของไทย
[2] พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2012 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติประวัติของอาปาอี้ (ซิมหยู แซ่ฉิน) อีกทั้งยังเพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดลำปาง