เจิ้งจวงกงกับเรื่องราว
ที่ควรค่าแก่การใคร่ครวญ
เรื่องโดย: พลอยไพลิน เขียวทอง

เจิ้งจวงกง (鄭莊公743-701 ปีก่อนค.ศ.) เจ้ารัฐเจิ้ง (鄭國)[1] ซึ่งสืบสันตติวงศ์ต่อจากเจิ้งอู่กง (鄭武公 780-744 ปีก่อนค.ศ.) นับเป็นเจ้ารัฐรุ่นที่สามของรัฐเจิ้ง ในช่วงที่เจิ้งจวงกงปกครองนั้น พระองค์ได้ส่งเสริมการค้าควบคู่กับการตรากฎหมายเพื่อบังคับใช้ และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้แก่รัฐเจิ้ง อาณาประชาราษฎร์จึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนั้น ในยามที่รัฐต่างๆ แย่งชิงอำนาจกัน พระองค์ก็ได้ฉวยโอกาสจากความขัดแย้งนี้กำจัดภัยที่เป็นอุปสรรคต่อการแผ่อำนาจของรัฐเจิ้ง จนรัฐเจิ้งกลายเป็นหนึ่งในสามมหาอำนาจแห่งยุคชุนชิวตอนต้น[2] (春秋 770-476 ปีก่อนค.ศ.)
เมื่อกล่าวถึงเจิ้งจวงกง ภาพจำในความคิดคำนึงของคนจีนคือเรื่องราวการเลือกที่รักมักที่ชังของมารดาผู้ซึ่งหนุนหลังให้โอรสองค์เล็กคิดคดต่อโอรสองค์โต เจิ้งจวงกงไม่เพียงไม่หวั่นไหว แต่ยังแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที อีกทั้งปลดเปลื้องความบาดหมางในอดีตโดยให้อภัยแก่มารดาด้วย เหตุการณ์ครั้งนั้น จั่วชิวหมิง (左丘明 556-451 ปีก่อนค.ศ.) ขุนนางอาลักษณ์แห่งราชสำนักรัฐหลู่ (鲁國) ได้บันทึกไว้ในคัมภีร์จั่วจ้วน《左傳》และต่อมาเรื่องดังกล่าวได้รับการรวบรวมไว้ในหนังสือชุดชุมนุมนิพนธ์จีนคลาสสิก 《古文觀止》[3] โดยอู๋ฉู่ไฉ (吳楚材 ประมาณค.ศ.1655-1719) และอู๋เตี้ยวโหว (吳調侯 ไม่ทราบปีเกิดและปีตาย) บัณฑิตสมัยราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616-1911) ชื่อ “เจิ้งจวงกง พิชิตองค์ชายองค์ชายต้วนที่เมืองเยียน” (鄭伯克段於鄢) ซึ่งว่าด้วยเหตุการณ์และความสัมพันธ์อันไม่ลงรอยกันระหว่างเจิ้งจวงกงกับองค์ชายต้วน (段 754 ปีก่อนค.ศ.-ไม่ทราบปีตาย) ผู้เป็นอนุชา และมารดานามเจียงซื่อ (薑氏 ไม่ทราบปีเกิดและปีตาย)
ความบาดหมางในวงศ์ตระกูลเริ่มต้นเมื่อเจิ้งจวงกงประสูติด้วยลักษณะผิดผู้ผิดคน เท้าโผล่ออกมาจากครรภ์มารดาก่อนศีรษะ เป็นเหตุให้เจียงซื่อเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างขณะคลอด นางถือเป็นความอัปมงคล จึงตั้งแง่รังเกียจและขนานนามเจิ้งจวงกงว่าอู้เซิง (寤生) หมายถึง การคลอดติดขัด แล้วทุ่มเทความรักให้แก่องค์ชายองค์ชายต้วน โอรสองค์เล็กผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เจียงซื่อไม่เพียงเฝ้าประคบประหงมเลี้ยงดูองค์ชายองค์ชายต้วน แต่นางยังคิดการใหญ่หวังให้เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทว่าเจิ้งอู่กงก็มิได้ตอบสนองความต้องการของนางแต่อย่างใด
หลังจากเจิ้งจวงกงขึ้นครองราชย์ เจียงซื่อได้ทูลขอให้ยกเมืองจื้อ (制邑) แก่องค์ชายองค์ชายต้วน แต่เจิ้งจวงกงปฏิเสธเพราะเมืองจื้อเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของรัฐเจิ้ง เจียงซื่อจำต้องเก็บความขุ่นเคืองถึงขั้นผูกใจเจ็บเอาไว้ แม้เจิ้งจวงกงจะยกเมืองจิง (京邑) ให้แก่องค์ชายต้วนในภายหลังก็ตาม
เมื่อองค์ชายต้วนได้ครองเมืองจิง ก็วางแผนขยายอำนาจและกำหนดจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ราวกับเมืองจิงอยู่ในฐานะราชธานีก็ไม่ปาน ซึ่งเป็นการละเมิดบทบัญญัติของราชวงศ์โจว[4] (周 1046–256 ปีก่อนค.ศ.) และหยามน้ำหน้าเจิ้งจวงกงผู้เป็นเจ้ารัฐเจิ้ง ขุนนางนามไจ้จ้ง[5] (祭仲 743-682 ปีก่อนค.ศ.) และกงจื่อหลี่ว์ (公子呂 ไม่ทราบปีเกิดและปีตาย) ต่างก็ปริวิตก เพราะกุศโลบายขององค์ชายต้วนอาจนำมาซึ่งภัยคุกคามในอนาคตได้ ไจ้จ้งจึงทูลว่า “เมืองใหญ่ที่กว้างเกินสามร้อยลี้ถือเป็นภัยภัยคุกคามต่อรัฐ ตามระบอบของกษัตริย์ในอดีต เมืองใหญ่ไม่ควรมีพื้นที่เกินหนึ่งในสามของเมืองหลวง เมืองขนาดกลางไม่ควรเกินหนึ่งในห้า และเมืองเล็กไม่ควรเกินหนึ่งในเก้า เมืองจิงในปัจจุบันไม่เป็นไปตามบทบัญญัติที่วางไว้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้”[6] แต่เจิ้งจวงกงกลับตรัสว่า “มารดาปรารถนาเช่นนี้ จะเลี่ยงได้อย่างไร?” (姜氏欲之,焉辟害?)

ภาพวาดเจิ้งจวงกง จาก หนังสือ《繡像東週列國全志》
ครั้นไม่มีผู้ใดทัดทาน องค์ชายต้วนก็ยิ่งเหิมเกริม เข้ายึดครองพื้นที่ซึ่งอยู่นอกอำนาจปกครองของตนเองและซ่องสุมไพร่พลอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายเจิ้งจวงกงยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย เปล่งวาจาแต่เพียงว่า “ทำเรื่องเลวทรามไว้ สุดท้ายจะแพ้ภัยตัวเอง รอดูกันเถิด” 多行不義必自斃,子姑待之)
ต่อมา องค์ชายต้วนก่อกบฏโดยมีเจียงซื่อคอยหนุนหลัง พอเจิ้งจวงกงทราบเรื่องก็ถือเป็นโอกาสเหมาะในการยกทัพระงับเหตุวุ่นวาย ครั้นสงครามอุบัติขึ้น ราษฎรเมืองจิงซึ่งอัดอั้นตันใจที่ถูกองค์ชายต้วนใช้อำนาจบาตรใหญ่มานานก็ร่วมกันต่อต้าน จนไพร่พลฝ่ายองค์ชายต้วนต้องถอยร่นไปยังเมืองเยียน (鄢) และแตกพ่ายในที่สุด องค์ชายต้วนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปยังเมืองก้ง (共) หลังจากเจิ้งจวงกงยึดเมืองต่างๆ คืนแล้วก็สั่งทหารหยุดตามล่า ปล่อยให้องค์ชายต้วนหลบหนีราชภัยต่อไป

ภาพวาดเจิ้งจวงกงพบมารดา (鄭莊公見母圖)
โดยฟู่เป่าสือ (傅抱石 ค.ศ.1904-1965) จิตกรช่วงปลายราชวงศ์ชิง
เมื่อเหตุการณ์รุนแรงคลี่คลายลง เจิ้งจวงกงก็ได้ส่งมารดาของตนไปกักขังไว้ที่เมืองอิ่ง (颍) และตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า “ถ้าไม่ถึงธารเหลืองตราบใด ก็คงไม่มีวันได้พบกันอีกตราบนั้น” (不及黃泉[7],無相見也。) ทว่าอย่างไรเสียเจียงซื่อก็ถือเป็นแม่บังเกิดเกล้า ไม่นานพระองค์ก็เกิดความเศร้าใจที่ลั่นวาจาไปเช่นนั้น แต่ไม่อาจกลับคำได้เสียแล้ว ขณะนั้น ขุนนางนามอิ่งเข่าซู (潁考叔 ไม่ทราบปีเกิด-712 ปีก่อนค.ศ.) ล่วงรู้ความทุกข์ใจของเจิ้งจวงกง เมื่อเจิ้งจวงกงเชิญไปรับประทานอาหาร เขาก็ตักเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาแต่ไม่ยอมกิน เจิ้งจวงกงรู้สึกพิศวงจึงถามด้วยความสงสัย อิ่งเข่าซูตอบว่าตนคิดถึงมารดา เนื่องจากก่อนกินสิ่งใด ตนต้องให้มารดาได้ลิ้มลองก่อนเสมอ แต่เนื้อรสเลิศตรงหน้านี้มารดายังไม่เคยชิม จึงอยากเอากลับไปให้ท่านได้ลองด้วย
เจิ้งจวงกงฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก็รำพึงรำพันว่าตนไม่มีมารดาอีกต่อไปแล้ว และระบายความทุกข์ระทมที่ต้องรักษาคำสัตย์ปฏิญาณให้อิ่งเข่าซูฟัง อิ่งเข่าซูเมื่อได้รู้น้ำใสใจจริงของเจิ้งจวงกงจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้แก้ไม่ยาก ขอเพียงท่านขุดอุโมงค์ให้ลึกลงไปถึงแหล่งน้ำบาดาลใต้พื้นดิน (ความหมายโดยนัยคือ ธารเหลือง) จากนั้นแม่ลูกทั้งสองก็ไปพบกันที่นั่น ใครเล่าจะบังอาจกล่าวหาว่าท่านไม่รักษาคำสัตย์!”
เจิ้งจวงกงทำตามคำแนะนำของอิ่งเข่าซูจนได้พบกับมารดาในอุโมงค์ สองแม่ลูกโอบกอดกันร่ำไห้ เจิ้งจวงกงปลื้มใจยิ่งนักจึงแต่งกลอนท่อนหนึ่งว่า “ในอุโมงค์ใหญ่นี้ ความเปรมปรีดิ์แม่ลูกช่างเปี่ยมล้น” (大隧之中,其乐也融融。) เจิ้งจวงกงและมารดาต่างก็ปล่อยวางความบาดหมางในอดีต กลับมาคืนดีกันในที่สุด เมื่อเดินออกจากอุโมงค์ เจียงซื่อก็ต่อกลอนของเจิ้งจวงกงว่า “นอกอุโมงค์ใหญ่นั้น ครอบครัวสุขสันต์ปรองดองยิ่ง” (大隧之外,其樂也泄泄。) เรื่องนี้เล่าสืบต่อกันมาช้านานและแพร่หลายในวงกว้างผ่านการแสดงงิ้วท้องถิ่นรูปแบบต่างๆ ที่มีชื่อว่า “เจิ้งจวงกงขุดดินลงไปเพื่อพบมารดา” (鄭莊公掘地見母)
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่เขาหนิวผีซาน (牛脾山) ทางทิศเหนือของหมู่บ้านต่ง (董村) อำเภอเมืองฉางเก๋อ (長葛) มณฑลเหอหนาน (河南) เขาลูกนี้ที่จริงเป็นเพียงเนินเขาเล็กๆ ตรงหว่างเขาเคยมีร่องลึก เชื่อกันว่าเป็นจุดที่เจิ้งจวงกงขุดดินลงไปเพื่อพบมารดาของพระองค์ เพราะถึง ค.ศ.1960 ที่แห่งนี้ก็ยังคงมีป้ายหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และมีอักษรจีนสลักไว้ 5 ตัวว่า “掘地見母處” (สถานที่ขุดดินลงไปเพื่อพบมารดา) นอกจากนี้ชาวบ้านแถวนั้นยังได้สร้างศาลเจ้าเข่าซู (考叔廟) ขึ้น เพื่อรำลึกถึงอิ่งเข่าซู ผู้แสดงความกตัญญูให้เป็นที่ประจักษ์แก่ใจของเจิ้งจวงกงจนยอมละทิฐิแล้วสั่งขุดอุโมงค์ลงไปเพื่อขอโทษมารดาด้วย

ภาพวาดอิ่งเข่าซู จากหนังสือ《東周列國志》

คัมภีร์จั่วจ้วน ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ 中國文聯出版社
สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่ชาวบ้านเคารพอิ่งเข่าซู บุคคลยอดกตัญญูในประวัติศาสตร์จีนนั้น สะท้อนคุณธรรมพื้นฐานที่สังคมให้ความสำคัญแก่ความกตัญญู (รู้คุณท่าน)[8] และกตเวที (สนองคุณท่าน) อันเป็นรากฐานของความดี ตามคำกล่าวว่า อิ่งเข่าซูเป็นบุตรกตัญญูอย่างแท้จริง ความรักของท่านที่มีต่อมารดาช่างจับจิตจนแทงใจดำของเจิ้งจวงกง
ขงจื่อ (孔子551-479 ปีก่อนค.ศ.) ปรัชญาเมธีสำนักหรู (儒家) ผู้เรียบเรียงคัมภีร์ชุนชิว《春秋》เคยวิจารณ์เรื่อง “เจิ้งจวงกงพิชิตองค์ชายองค์ชายต้วนที่เมืองเยียน” ว่าองค์ชายต้วนเพิกเฉยต่อหน้าที่ในฐานะน้องชาย ถือว่าผิดหลักคุณธรรมความเคารพรักและปรองดองระหว่างพี่น้อง (不悌) ส่วนเจิ้งจวงกงเพิกเฉยต่อหน้าที่ในฐานะพี่ชาย ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามารดาเอ็นดูน้องชายเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ห้ามปรามหรือว่ากล่าวตักเตือนน้องชายที่มีคนคอยให้ท้ายจนเหลิง ถือเป็นเจตนาซ่อนเร้นของเจิ้งจวงกง (謂之鄭志) ที่ปล่อยให้มารดากับน้องชายทำตามอำเภอใจจนไม่อาจแยกแยะผิดถูกได้ เท่ากับยุยงส่งเสริมให้แก่น้องชายประพฤติชั่วเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกำจัดภายหลัง เรื่องนี้ทั้งพี่ชายและน้องชายต่างก็มีข้อบกพร่อง
นอกจากนี้ การที่เจิ้งจวงกงที่กักขังมารดาไว้ถือว่าเป็นการ ไม่กตัญญูต่อบุพการี (不孝) เนื่องจากปฏิบัติต่อมารดาเยี่ยงศัตรู ราวกับขุดบ่อล่อปลาไว้แล้วค่อยตัดเป็นตัดตายทีเดียว แม้ดูผิวเผินเหมือนยอมอ่อนข้อตามที่มารดาร้องขอ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและสำนึกในพระคุณ แต่แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยเพทุบายและแผนการอันร้ายกาจ เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์อันควรค่าแก่การนำมาใคร่ครวญอย่างยิ่ง
[1] หนึ่งในรัฐใต้สังกัดราชสำนักโจวซึ่งเรืองอำนาจในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก ดำรงอยู่เป็นเวลา 431 ปี ก่อตั้งโดยเจิ้งหวนกง (鄭桓公) เมื่อ 806 ปีก่อนค.ศ. มีราชธานีคือเมืองซินเจิ้ง (新鄭 พื้นที่มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) รัฐเจิ้งล่มสลายเมื่อ 375 ปีก่อนค.ศ.เนื่องจากถูกรัฐหาน (韓) ยึดครอง
[2] สามรัฐมหาอำนาจดังกล่าว ได้แก่ เจิ้งจวงกงแห่งรัฐเจิ้ง ฉีซีกง (齊僖公731-698 ปีก่อนค.ศ.) แห่งรัฐฉี และฉู่อู่หวาง (楚武王740-690 ปีก่อนค.ศ.) แห่งรัฐฉู่ (楚)
[3] หนังสือชุดชุมนุมนิพนธ์จีนคลาสสิก 《古文觀止》ประกอบด้วยนิพนธ์จำนวน 222 เรื่องตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (东周770-256 ปีก่อนค.ศ.) จนถึงราชวงศ์หมิง (明ค.ศ. 1368–1644) เป็นการส่งต่อมรดกด้านสื่อการอ่านภาษาจีนคลาสสิกให้แก่อนุชนหรือคนรุ่นหลัง และถือเป็นตำราเรียนภาษาจีนคลาสสิกอีกเล่มหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดจนถึงปัจจุบัน
[4] ราชวงศ์โจว (周ประมาณ 1046-256 ปีก่อนค.ศ.) เป็นราชวงศ์โบราณของจีนดำรงอยู่ยาวนานกว่า 800 ปี แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ราชวงศ์โจวตะวันตก (西周 ประมาณ 1046-771 ปีก่อนค.ศ.) และราชวงศ์โจวตะวันออก (东周770 – 256 ปีก่อนค.ศ.) โดยมีแนวคิดการปกครองแบบ “อาณัติแห่งสวรรค์หรืออาณัติแห่งฟ้า” (天命) ถือเป็นยุคแรกเริ่มต้นของระบบศักดินา กษัตริย์เป็นผู้มอบอำนาจให้เชื้อพระวงศ์เป็นเจ้าผู้ครองรัฐ
[5] ไจ้จ้ง (祭仲) ขุนนางคนสำคัญผู้ทรงอำนาจและอิทธิพลแห่งรัฐเจิ้ง เดิมเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยที่คอยอารักขาชายแดน แต่ต่อมาสร้างผลงานเข้าตาเจิ้งจวงกงจนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดี เขามีส่วนช่วยให้รัฐเจิ้งเจริญรุ่งเรืองในยุคชุนชิวตอนต้น
[6] 都城過百雉,國之害也。先王之制,大都,不過參國之一;中,五之一;小,九之一。今京不度,非制也,君將不堪。
[7] 黄泉 หรือธารเหลือง คือบ่อน้ำใต้ดิน ในวัฒนธรรมจีนโบราณใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับ ยมโลก หรือโลกของคนตาย ชาวจีนเชื่อกันว่าธารเหลืองเป็นวิถีที่ดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิใหม่
[8] คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการตามแนวคิดของขงจื่อ (孔子八德) ประกอบด้วย 1. ความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา (孝 เซี่ยว) 2. ความเคาพรพรักและปรองดองระหว่างพี่น้อง (悌 ธี่)3. ความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเบื้องบน(忠 จง)4. ความมีสัจจะและน่าเชื่อถือ (信 ซิ่น) 5. จริยธรรม หรือการปฏิบัติตามจารีตประเพณีและมารยาทอันดีงาม (禮หลี่) 6. มโนธรรม หรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง (義อี้) 7. ความรู้ ปัญญา และการตัดสินใจอย่างมีเหตุและผล (智 จื้อ) 8. ความละอายต่อความชั่ว และไม่ยอมทำในสิ่งที่ผิด (廉 เหลียน) ซึ่งได้รับการส่งเสริมให้เป็นหลักคุณธรรมสำหรับการดำเนินชีวิตในสังคมจีน