—–ฤดูหนาวของประเทศในซีกโลกเหนือมีอากาศเย็นจัด ซึ่งเป็นอุปสรรคและสร้างความลำบากแก่การใช้ชีวิตของผู้คนทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านในเมืองหลวงหรือชนบท จักรพรรดิในพระราชวัง แม้แต่ทหารที่ต้องทำศึกสงคราม ฤดูร้อนและฤดูหนาวของประเทศจีนมีอากาศแตกต่างกันมาก พื้นที่ซึ่งมีอากาศเย็นจัดอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ ตู้ฝู่ (杜甫 ค.ศ. 712-770) กวีสมัยราชวงศ์ถัง (唐 ค.ศ. 618-907) บันทึกไว้ว่า ‘หน้าบ้านเศรษฐีมีกลิ่นเหล้าและเนื้อ ถนนมีคนหนาวตัวแข็งตาย’ (朱門酒肉臭,路有凍死骨) สะท้อนภาพความแตกต่างทางชนชั้นและอากาศเย็นจัดในฤดูหนาวของจีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คน แม้เทคโนโลยียุคปัจจุบันจะก้าวหน้าจนรับมือและป้องกันความหนาวได้แล้ว แต่บรรพบุรุษแดนมังกรใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวซึ่งอากาศเย็นจัดอย่างไร อาศัยภูมิปัญญาอันชาญฉลาดใดต่อสู้กับภัยหนาว
สถาปัตยกรรมรับมือความหนาว
—–เมื่ออากาศเย็นจัด มนุษย์จึงคิดค้นสิ่งที่ช่วยสร้างความอบอุ่น สถาปัตยกรรมสร้างความอบอุ่นซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญในประวัติศาสตร์จีนคือกำแพงไฟ (火牆) หรือเรียกอีกอย่างว่ากำแพงหนีบ (夾牆) มีหลักการทำงานคล้ายกับเตียงไฟ (火炕 เตียงที่สามารถจุดไฟด้านล่างเพื่อความอบอุ่น นิยมใช้ทางจีนตอนเหนือ) คือใช้หลักการ ‘ดึงความร้อนจากพื้นไฟ’ (火地取暖) ตัวกำแพงหรือเตียงมีช่องต่อกับเตาไฟ เวลาใช้ให้จุดเตา ควันจะลอยไปตามช่องในกำแพง กำแพงจึงแผ่ไอร้อนช่วยคลายความหนาว
โครงสร้างกำแพงไฟ
—–ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (漢 202 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 220) เตาไฟได้รับการพัฒนาจนค่อนข้างสมบูรณ์แบบแล้ว ที่หมู่บ้านโบราณเหยียนเจียชุน (閻家村) ในเมืองซีอาน (西安) มีการค้นพบเตาไฟซึ่งท่อระบายควันจะผ่านห้องต่างๆ ก่อนถ่ายเทออกนอกบ้าน เป็นการใช้ประโยชน์จากความร้อนของควัน สันนิษฐานว่าระบบสร้างความอบอุ่นนี้ต่อมาจึงพัฒนาเป็นกำแพงไฟ กำแพงไฟมีส่วนประกอบ 3 ส่วนเชื่อมถึงกัน ได้แก่ ช่องเตา (爐膛) กำแพงไฟ (火牆體) และปล่องควัน (煙囪) ด้านในกำแพงไฟเป็นท่อกลวง เมื่อจุดไฟที่ช่องเตา ควันไฟจะไหลไปตามท่อในกำแพง ซึ่งออกแบบให้วนไปวนมาและต้องใช้เวลาเคลื่อนที่ จึงเก็บกักความอบอุ่นได้นานและกระจายทั่วถึง สุดท้ายควันจะออกไปทางปล่องควันนอกบ้าน เตาที่กำแพงนี้นอกจากสร้างความอบอุ่นแล้ว ยังสามารถทำอาหารควบคู่กันไป แต่โครงสร้างกำแพงไฟก็มีข้อเสียคือไม่อาจรับน้ำหนักได้มาก เนื่องจากภายในกำแพงเป็นช่องกลวง
—–สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (東漢 ค.ศ. 25-220) บ้านของชนชั้นสูงมีห้องที่สามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นได้ จางเหิง (張衡 ค.ศ. 78-139) ผู้รอบรู้ในศาสตร์หลายแขนงบันทึกไว้ใน ‘คัมภีร์ซีจิงฟู่’ 《西京賦》ว่า ‘ห้องว่าราชการอยู่ทิศตะวันออก ห้องปรับอุณหภูมิอยู่ทิศเหนือ’ (朝堂承東,溫調延北) คำว่า ‘溫調’ นี้เองที่หมายถึง ‘ห้องปรับอุณหภูมิ’ นอกจากนี้หนังสือภูมิศาสตร์ ‘ซานฝู่หวงถู’ 《三輔黃圖》 บันทึกไว้ว่า ‘ตำหนักอบอุ่น อู่ตี้สร้าง ฤดูหนาวอยู่แล้วอบอุ่น’ (溫室殿, 武帝建, 冬處之溫暖也。) หลักการของตำหนักอบอุ่นคือใช้ ‘ความอบอุ่นขึ้นจากพื้น’ (地上升溫) คาดกันว่าห้องปรับอุณหภูมิและตำหนักอบอุ่นใช้เตาผิงเพื่อสร้างความอบอุ่น เนื่องจากนักโบราณคดีค้นพบเตาผิง 3 เตาบริเวณพระราชวังเสียนหยาง (咸陽宮)
ฮวาเจียว
—–ปัจจุบันผู้คนนิยมบริโภคฮวาเจียว (花椒) เพราะเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารรสเผ็ดชาที่เรียกว่าหมาล่า (麻辣) คนโบราณเชื่อว่าฮวาเจียวช่วยให้ความอบอุ่น จึงใช้ประโยชน์จากฮวาเจียวในด้านอื่นๆ ด้วย วังหลวงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西漢 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 25) มีสถานที่ซึ่งเรียกว่าตำหนักฮวาเจียว (椒房 หรือ 椒房殿) ก่อสร้างโดยวิธีการนำฮวาเจียวมาบดผสมกับดินแล้วโบกผนังตำหนัก ช่วยสร้างความอบอุ่นและส่งกลิ่นหอม ส่วนใหญ่ตำหนักแห่งนี้เป็นที่ประทับของฮองเฮา (皇后) จึงมีการเรียกฮองเฮาอีกสรรพนามหนึ่งว่า ‘เจียวฝาง’ (椒房)
สิ่งประดิษฐ์รับมือความหนาว
—–แม้การออกแบบสถาปัตยกรรมจะช่วยสร้างความอบอุ่นได้ดี แต่ชาวบ้านไม่อาจเข้าถึงสถาปัตยกรรมต้นทุนสูง ด้วยเหตุนี้จึงต้องประดิษฐ์ตัวช่วยอื่นๆ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
—–กะละมังไฟ (火盆) เป็นอุปกรณ์สร้างความอบอุ่นที่พบได้ทั่วไป มีบันทึกว่ากะลังมังไฟเกิดขึ้นที่เฮยหลงเจียง (黑龍江) ในยุคสามก๊ก (三國 ค.ศ. 220-280) มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี กะละมังไฟใช้ทั้งในราชสำนักและบ้านเรือน มีหลายขนาด ส่วนใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50-60 ซ.ม. ปัจจุบันชนบทจีนบางพื้นที่ยังใช้กะละมังไฟอยู่ วิธีใช้คือใส่ถ่านหรือฟืนลงในกะละมังแล้วจุดไฟ เท่านี้ภายในบ้านก็อบอุ่น โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนที่อากาศหนาวเย็น สมาชิกในครอบครัวมักมานั่งล้อมวงผิงไฟพลางพูดคุยกันอย่างออกรส
กะละมังไฟในราชสำนัก
—–นอกจากกะละมังไฟแล้วยังมีอุปกรณ์ให้ความร้อนคือ ‘เตาอังมือ’ (手爐) และ ‘เตาอังเท้า’ (足爐) เตาอังมือคือเตาขนาดเล็กที่เอาไว้ผิงมือในฤดูหนาว ส่วนใหญ่ทำด้วยสำริด มีขนาดไม่ใหญ่เคลื่อนย้ายสะดวก ในอดีตเป็นที่นิยมทั้งในพระราชวังและตามบ้านเรือนทั่วไป เตาอังมือเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น มีผู้สันนิษฐานไว้หลายทาง บ้างว่าเกิดตั้งแต่ยุคสุย (隋 ค.ศ. 581-619) เมื่อจักรพรรดิสุยหยางตี้ (隋煬帝 ค.ศ. 569-618) เสด็จประพาสเจียงซู (江蘇) แล้วเจออากาศหนาว จึงมีคนสั่งให้ช่างสำริดผลิตเตาอังมือขนาดเล็กถวาย พระองค์จึงพระราชทานนามว่า ‘โส่วหลู’ (手爐) ต่อมาเตาอังมือเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในสมัยราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) และราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616-1911) หลังจากนั้นเตาอังมือก็ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลง
—–เตาอังมือส่วนใหญ่มีสองชั้น ชั้นในทำด้วยสำริด ไว้ใส่เชื้อเพลิงเวลาใช้งาน ส่วนชั้นนอกช่วยเก็บกักความร้อนให้คงอยู่ได้นาน ระหว่างชั้นทั้งสองมีช่องช่วยถ่ายเทอากาศ รอบเตานิยมแกะสลักเป็นภาพที่สวยงาม ทั้งคน สัตว์ หรือตัวอักษร ซึ่งสะท้อนประเพณีและวัฒนธรรมในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
เตาอังมือ
เตาอังเท้า
—–ส่วน ‘เตาอังเท้า’ เรียกอีกอย่างว่า ‘ทังโผจื่อ’ (湯婆子) เตาอังเท้าปรากฏในสมัยราชวงศ์ซ่ง (宋 ค.ศ. 960-1279) ถือเป็นอุปกรณ์เพื่อความอบอุ่นที่คุ้นเคยกันดี เวลาใช้ให้เติมน้ำร้อนลงไปในปากเตาด้านบนแล้วปิดด้วยฝาเกลียว เตาอังเท้าทำด้วยวัสดุหลายชนิด เช่น สำริด ดีบุก กระเบื้อง ฯลฯ ส่วนใหญ่รูปทรงเหมือนฟักทอง มีปากเล็ก ฝาเกลียวช่วยป้องกันมิให้น้ำกระฉอกออก
—–เตากำยาน (熏香爐) แบบดั้งเดิมทำด้วยสำริด ด้านบนมีรูระบายควัน เวลาใช้จุดเครื่องหอมเพื่อให้กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ นอกจากส่งกลิ่นหอมแล้วยังสร้างความอบอุ่นให้แก่ผู้ใช้ นับแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น วัสดุที่ใช้ผลิตเตากำยานเริ่มหลากหลาย เช่น กระเบื้อง หยก ฯลฯ สมัยราชวงศ์ซ่งมีเตากำยานที่เรียกว่า ‘ป๋อซานหลู’ (博山爐) รูปทรงเหมือนเปลวไฟ มีขาตั้ง ด้านบนมีรูระบายควัน
—–กล่าวได้ว่าเตาทั้งหลายนี้เป็น ‘บรรพบุรุษ’ ของเครื่องทำความร้อน (ฮีตเตอร์) ในปัจจุบัน
เครื่องนุ่งห่มรับมือความหนาว
—–เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่ออากาศหนาว ชาวบ้านในสมัยโบราณสวมเสื้อป่านหยาบๆ เพื่อป้องกันความหนาว หยาบขนาดกระสอบป่านในปัจจุบันยังมีคุณภาพดีกว่าเสียอีก แต่สำหรับผู้มีอันจะกิน ในฤดูหนาวนิยมสวมเสื้อขนสัตว์ เช่น ขนจิ้งจอก ขนมิงค์ ขนแกะ ขนกระต่าย ฯลฯ ในบรรดาขนสัตว์นั้นขนจิ้งจอกและขนมิงค์มีมูลค่าสูงสุด ถือเป็นของหรูหราที่นิยมในหมู่ขุนนาง ส่วนขนกวางและขนแกะแม้มูลค่าจะรองลงมา แต่ก็ยังสูงเกินเอื้อมสำหรับชาวบ้าน ชาวจีนโบราณเชื่อว่าขนช่วงรักแร้ของสุนัขจิ้งจอกมีน้ำหนักเบาหยุ่นและให้ความอบอุ่นได้ดีเยี่ยม ชุดที่ทำจากขนส่วนนี้เรียกว่า ‘หูป๋ายฉิว’ (狐白裘)
—–นอกจากขนสัตว์แล้ว ยังมีหนังสัตว์ที่ช่วยให้ความอบอุ่น นิยมนำมาทำเสื้อคลุมต้าฉ่าง (大氅) ผ้าคลุมกันลม (披風) หมวก ฯลฯ
—–สมัยราชวงศ์หยวน (元 ค.ศ. 1271-1368) หญิงสูงศักดิ์นิยมใช้ที่คาดหน้าผากซึ่งเรียกว่า ‘ม่อเอ๋อ’ (抹額) ช่วยป้องกันความหนาว สมัยราชวงศ์หมิงม่อเอ๋อเป็นที่นิยมอย่างยิ่งโดยเฉพาะในฤดูหนาว ตั้งแต่หญิงสูงศักดิ์จนถึงสามัญชน อุปกรณ์คลุมศีรษะที่ทำด้วยหนังสัตว์มีหลากหลายชนิด เช่น ‘ว่อทู่เอ๋อร์’ (臥兔兒) คืออุปกรณ์ที่คลุมศีรษะแล้วคล้ายมีกระต่ายเกาะอยู่บนศีรษะ ‘เจาจวินเท่า’ (昭君套) คือที่คาดหน้าผากสำหรับผู้หญิง ฯลฯ
ที่คาดหน้าผากม่อเอ๋อ
อุปกรณ์คลุมศีรษะว่อทู่เอ๋อร์
—–สำหรับบรรดาผู้มีความรู้ การเขียนหนังสือด้วยพู่กันและหมึกเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ในฤดูหนาวซึ่งอากาศเย็นจัด หมึกที่ใช้จะแข็ง สมัยราชวงศ์ถังจึงมีการประดิษฐ์ถาดฝนหมึกที่สามารถอุ่นหมึกให้ร้อน เรียกว่า ‘ถาดอุ่นหมึก’ (暖硯) ส่วนใหญ่ผลิตด้วยหินเซ่อสือ (歙石) และหินเขียวซงฮวาเจียง (松花江綠石) นอกจากนี้ยังมีทองคำ เงิน สำริด หยก ดีบุก เหล็ก และกระเบื้อง หรืออาจผสมผสานกัน
—–ถาดอุ่นหมึกมีหลากหลายรูปทรงทั้งวงกลม สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม ฯลฯ โดยทั่วไปส่วนฐานสูง มีสองชั้น แบ่งเป็นแบบอุ่นหมึกด้วยน้ำร้อน เวลาใช้ต้องใส่น้ำร้อนลงในช่องด้านล่าง เพื่อให้ตัวถาดด้านบนอุ่น หมึกไม่แข็งตัว ส่วนแบบอุ่นหมึกด้วยไฟ เวลาใช้ต้องใส่ถ่านติดไฟลงในช่องด้านล่าง อาจเติมน้ำมันเพื่อเพิ่มความร้อน แต่ทั้งสองวิธียังมีข้อบกพร่อง เนื่องจากน้ำร้อนไม่นานก็เย็น ส่วนถ่านติดไฟหากวางไว้นานก็ทำให้ถาดแตกเสียหาย เมื่อถึงกลางสมัยราชวงศ์ชิง ดินจื่อซาหนี (紫砂泥) จากเจียงซูซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงถูกนำมาใช้ผลิตถาดฝนหมึก ถาดฝนหมึกแบบอุ่นหมึกได้จึงทนทานยากแก่การแตกหักเสียหายจากความร้อน ถาดที่ผลิตด้วยดินจื่อซาหนีเรียกว่า ‘ถาดอุ่นหมึกจื่อซา’ (紫砂暖硯)
ถาดอุ่นหมึกจื่อซา
—–ด้วยหลักการเดียวกันนี้ หลี่อวี๋ (李渔ค.ศ. 1611-1680) นักคิดนักเขียนสมัยปลายราชวงศ์หมิงต่อต้นราชวงศ์ชิงจึงคิดค้นเก้าอี้อุ่น (暖椅) เพื่อสร้างความอบอุ่นให้คนนั่ง เขาเขียนลงใน ‘บันทึกเสียนฉิงโอ่วจี้’ 《閒情偶記》 ว่าตนเองออกแบบเก้าอี้อุ่น ใต้เก้าอี้มีลิ้นชักที่ใส่เตาถ่านเข้าไปได้
อาหารรับมือความหนาว
—–หากกล่าวถึงอาหารที่ช่วยสร้างความอบอุ่น บ้างอาจนึกถึงเครื่องเทศหรืออาหารเผ็ดร้อน หรืออาหารประเภทต้มที่ต้องกินร้อนๆ ในบรรดาอาหารที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นย่อมมีหม้อไฟรวมอยู่ด้วย ‘หม้อไฟเล็ก’ (小火鍋) เป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง (商1600-1046 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และราชวงศ์โจว (周1046-256 ปีก่อนคริสต์ศักราช) พิพิธภัณฑ์กู้กงปักกิ่ง (北京故宮博物院) จัดแสดงภาชนะติ่งแบบมีจาน (盤鼎) ขนาดสูง 20.2 ซ.ม. กว้าง 16.4 ซ.ม. หนัก 2.26 กก. ผลิตในสมัยราชวงศ์ซางหรือราชวงศ์โจว ติ่งชนิดนี้มีจานอยู่ด้านล่าง ใช้สำหรับวางถ่านติดไฟ ถือเป็นหม้อไฟในยุคแรกๆ
ภาชนะติ่งแบบมีจาน
—–เมื่อถึงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น ผู้คนนิยมกินหม้อไฟกันเป็นปกติแล้ว ผลการศึกษาด้านโบราณคดีพบว่ามีหม้อไฟผลิตด้วยโลหะนานาชนิดทั้งสำริด เหล็ก หรือแม้แต่กระเบื้อง มีสูตรน้ำแกงหลากหลายแบบ และมีวัตถุดิบจำนวนมาก
—–ค.ศ. 1984 นักโบราณคดีค้นพบภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สุสานสมัยราชวงศ์เหลียว (遼 ค.ศ. 907-1125) เป็นภาพชาวชี่ตัน (契丹) กินหม้อไฟในหม้อสามขา คนหนึ่งกำลังคนหม้อ ด้านข้างมีเนื้อสัตว์วางอยู่
ภาพจิตรกรรมฝาผนังชาวชี่ตันกินหม้อไฟ
—–สมัยราชวงศ์หมิงหม้อไฟเป็นที่นิยมในวงกว้าง แม้ว่าวิธีกินหม้อไฟแทบไม่ต่างกับปัจจุบัน แต่สมัยนั้นผู้คนค่อนข้างพิถีพิถัน ต่อมาสมัยราชวงศ์ชิง ‘หม้อไฟป่า’ (野味火鍋) เป็นเมนูซึ่งราชสำนักใช้เลี้ยงแขกบ้านแขกเมือง นอกจากนี้จักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆皇帝 ค.ศ. 1711-1799) โปรดหม้อไฟอย่างยิ่ง มีหม้อไฟปรุงด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ ทั้งไก่ เป็ด แพะ กวาง สุนัข รวมทั้งเต้าหู้และผักสดนานาชนิด
—–แม้ภูมิปัญญาในการรับมือกับอากาศหนาวดังกล่าวมาข้างต้นจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็แสดงถึงความเฉลียวฉลาดในการหาวิธีต้านทานอากาศหนาวของบรรพบุรุษชาวจีน และบางสิ่งได้ค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็นอุปกรณ์อันทันสมัยในปัจจุบัน
เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์