—–วัฒนธรรมการกินเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่งของจีน ในประวัติศาสตร์จีนมีงานเลี้ยงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญเกิดขึ้นหลายครั้ง และแต่ละครั้งมักเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งอิทธิพลต่อชีวิตบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในภายหลัง โดยงานเลี้ยงสำคัญ 4 ครั้งที่ชาวจีนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี และล้วนมีนัยสำคัญต่ออำนาจการเมืองการปกครอง ได้แก่

  1. งานเลี้ยงที่เหมี่ยนฉือ (澠池之會) : ภารกิจกอบกู้ศักดิ์ศรีรัฐจ้าว

—–ราว 279 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในยุคจ้านกว๋อ (戰國 475-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) รัฐฉิน (秦) ส่งกองทัพเข้ามาบุกตีเมืองต่างๆ ในรัฐจ้าว (趙) และคิดหาวิธีบีบบังคับให้รัฐจ้าวยอมสวามิภักดิ์ โดยรัฐฉินได้ส่งราชทูตมาทูลเชิญกษัตริย์จ้าวฮุ่ยเหวินหวัง (趙惠文王) แห่งรัฐจ้าวให้เสด็จไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับกษัตริย์ฉินเจาเซียงหวัง (秦昭襄王) ของรัฐตน ณ บริเวณอำเภอเหมี่ยนฉือ (澠池) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนัน (河南) กษัตริย์จ้าวเกรงกลัวกษัตริย์ฉินไม่อยากเสด็จไปตามคำเชิญ แต่ลิ่นเซี่ยงหรู (藺相如) ขุนนางในราชสำนักจ้าวผู้เป็นทั้งนักการปกครองและนักการทูตที่เก่งกาจกับเหลียนโพ (廉颇)  แม่ทัพใหญ่ต่างทูลว่า หากพระองค์ไม่เสด็จไป รัฐฉินจะหาว่าคนรัฐจ้าวเราขี้ขลาดและอ่อนแอ กษัตริย์จ้าวจึงตกลงเสด็จไปตามคำเชิญของรัฐฉิน โดยมีลิ่นเซี่ยงหรูตามเสด็จด้วย

—–ณ อำเภอเหมี่ยนฉือ กษัตริย์ฉินตรัสกับกษัตริย์จ้าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าพระองค์โปรดดีดเซ่อ[1] ขอพระองค์ทรงดีดให้ข้าฟังสักเพลงเถิด” กษัตริย์จ้าวยอมดีดไปเพลงหนึ่ง อาลักษณ์รัฐฉินก็บันทึกว่า กษัตริย์ฉินรับสั่งให้กษัตริย์จ้าวดีดเซ่อให้ฟัง ลิ่นเซี่ยงหรูเห็นดังนั้น ก็รีบนำกระถางดินเผาไปคุกเข่าถวายต่อหน้าพระพักตร์กษัตริย์ฉินพร้อมทูลว่า “พระองค์โปรดช่วยตีกระถางดินเผา เพื่อความบันเทิงด้วย” กษัตริย์ฉินกริ้วและไม่ยอมทำตามคำขอ ลิ่นเซี่ยงหรูจึงทูลว่ากระหม่อมอยู่ห่างจากฝ่าบาทไม่ถึง 5 ก้าว หากฝ่าบาทไม่ทรงตี กระหม่อมจะยอมเชือดคอตัวเองให้โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วพระวรกายของฝ่าบาท กษัตริย์ฉินได้ยินดังนั้นก็ขยาดกลัว จึงทรงตีส่งๆ ไปทีหนึ่ง ลิ่นเซี่ยงหรูก็ให้อาลักษณ์รัฐจ้าวบันทึกไปว่ากษัตริย์ฉินทรงตีกระถางดินเผาถวายแด่กษัตริย์จ้าว

—–เหล่าขุนนางรัฐฉินเห็นเช่นนั้นจึงทูลกษัตริย์จ้าวว่า “ขอให้ฝ่าบาทถวายเมือง 15 เมืองเพื่อเป็นของขวัญถวายพระพรแด่กษัตริย์ฉินของเราด้วย” ลิ่นเซี่ยงหรูก็ทูลกษัตริย์ฉินว่า “ขอให้ฝ่าบาทถวายเมืองเสียนหยาง (咸陽) เมืองหลวงแห่งรัฐฉิน เพื่อเป็นของขวัญถวายพระพรแด่กษัตริย์จ้าวของเราด้วยเช่นกัน” ทำให้กษัตริย์ฉินกระอักกระอ่วนพระทัยจนตรัสไม่ออกสักคำ

—–จนกระทั่งงานเลี้ยงเลิก รัฐฉินยังมิอาจเอาเปรียบฝ่ายรัฐจ้าวได้ นอกจากนั้นรัฐจ้าวยังระดมกองกำลังป้องกันอยู่รอบนอกงานเลี้ยง รัฐฉินจึงมิอาจบุ่มบ่ามทำอันตรายใดๆ ต่อกษัตริย์จ้าวได้ ด้วยความดีความชอบของลิ่นเซี่ยงหรู หลังจากกษัตริย์รัฐจ้าวเสด็จกลับถึงพระราชวังแล้ว จึงทรงแต่งตั้งให้ลิ่นเซี่ยงหรูเป็นอัครมหาเสนาบดีทันที

—–จากเหตุการณ์นี้ เห็นได้ชัดว่า การที่กษัตริย์จ้าวปลอดภัยและรัฐจ้าวไม่ถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรี ก็เพราะปัญญาอันชาญฉลาดของลิ่นเซี่ยงหรูและกองกำลังอันเข้มแข็งของเหลียนโพ ถึงแม้ว่าภายหลังรัฐจ้าวจะตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐฉินอยู่ดี แต่อย่างน้อยเหตุการณ์งานเลี้ยงที่เหมี่ยนฉือก็ช่วยให้รัฐจ้าวสามารถดำรงอยู่อย่างสันติ โดยปราศจากการรุกรานจากรัฐฉินยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ

  1. งานเลี้ยงที่หงเหมิน (鴻門宴) : หลุมพรางลอบสังหารหลิวปัง

—–ในช่วงปลายราชวงศ์ฉิน (秦 221-206 ปีก่อนคริสต์ศักราช) หลังจากหลิวปัง (劉邦) ยึดเมืองเสียนหยาง เมืองหลวงของราชวงศ์ฉินได้สำเร็จ แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าไปรายงานเซี่ยงอวี่[2] (項羽) นึกไม่ถึงว่าในค่ายของหลิวปังจะมีนายทหารนามว่าเฉาอู๋ซาง (曹無傷) ลอบไปหาเซี่ยงอวี่แล้วรายงานว่าหลิวปังต้องการจะยึดครองพื้นที่บริเวณกวนจง[3] (關中) และสถาปนาตนขึ้นเป็นอ๋อง (王) เสียเอง เซี่ยงอวี่ กริ้วมาก หมายจะบุกโจมตีทัพของหลิวปัง ส่วนฟ่านเจิง (范增) ที่ปรึกษาและบิดาบุญธรรมของเซี่ยงอวี่ก็ฉวยโอกาสนี้เสนอให้เซี่ยงอวี่รีบกำจัดหลิวปังทิ้งเสีย

—–เผอิญว่าเซี่ยงป๋อ (項伯) อาคนเล็กของเซี่ยงอวี่ล่วงรู้แผนการนี้ก่อน จึงรีบนำความไปบอกกับจางเหลียง (張良) กุนซือของหลิวปังผู้เคยมีบุญคุญกับเขา เพื่อให้จางเหลียงรีบหนีเอาตัวรอด แต่ด้วยความที่จางเหลียงจงรักภักดีต่อหลิวปัง จึงนำความไปบอกหลิวปัง หลิวปังจึงรีบบอกกับเซี่ยงป๋อว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาจะตั้งตนเป็นอ๋อง ขอให้ช่วยตนแก้ต่างกับเซี่ยงอวี่ด้วย เซี่ยงป๋อเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของหลิวปังจึงนัดเขาให้ไปขอขมากับเซี่ยงอวี่ด้วยตนเองที่หงเหมิน[4] (鴻門) ในเช้าวันรุ่งขึ้น

—–คืนนั้นเซี่ยงป๋อรีบกลับไปค่ายของเซี่ยงอวี่เพื่อพูดแก้ต่างให้หลิวปังว่า “หากไม่มีหลิวปังบุกโจมตีด่านก่อน ท่านจะกล้าเข้ามาบริเวณนี้หรือ เขาทำคุณงามความดี ท่านกลับจะกำจัดเขาทิ้งเสีย เหตุไฉนท่านจึงไม่ทำดีกับเขาเล่า”

—–เช้าวันรุ่งขึ้นหลิวปังนำไพร่พลมาที่หงเหมิน เมื่อหลิวปังได้อธิบายและขอขมาเซี่ยงอวี่แล้ว เซี่ยงอวี่ก็สั่งให้จัดงานเลี้ยงรับรองขึ้นในคืนวันเดียวกันนั้นเอง ขณะที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินอยู่นั้น ฟ่านเจิงผู้มีจิตคิดสังหารหลิวปังอยู่เป็นทุนเดิม พยายามส่งสัญญาณให้เซี่ยงอวี่หลายครั้งว่าต้องการลงมือสังหารหลิวปัง แต่เซี่ยงอวี่กลับนิ่งเฉย ฟ่านเจิงทนรอไม่ไหว จึงสั่งให้เซี่ยงจวง (項莊) ลูกพี่ลูกน้องของเซี่ยงอวี่ลอบสังหารหลิวปังระหว่างการแสดงรำกระบี่ แต่เซี่ยงป๋อมองสถานการณ์ออก จึงเข้าไปร่วมรำกระบี่ด้วย เพื่อขวางไม่ให้เซี่ยงจวงทำร้ายหลิวปังได้

—–ฝานไคว่ (樊噲) องครักษ์ของหลิวปังเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็บันดาลโทสะ พุ่งเข้าไปหาเซี่ยงอวี่แล้วตำหนิว่า “นายข้าบุกด่านเข้ามาได้ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม รอคอยท่านมาถึง นอกจากท่านจะไม่ตบรางวัลแล้ว หนำซ้ำยังคิดสังหารนายข้าอีก” เซี่ยงอวี่ได้ยินดังนั้นแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

—–เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง หลิวปังจึงอ้างขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แล้วฉวยโอกาสหลบออกจากงานเลี้ยง รีบหนีกลับค่ายของตนเองทันที เมื่อกลับถึงค่ายหลิวปังสั่งประหารเฉาอู๋ซางทันที ส่วนทางฝั่งเซี่ยงอวี่ เมื่อฟ่านเจิงรู้ว่าหลิวปังหนีรอดไปแล้ว รู้สึกเจ็บแค้นใจยิ่งนัก พร้อมกล่าวว่าภายหน้าผู้ที่จะชิงบัลลังก์ของเซี่ยงอวี่ต้องเป็นหลิวปังแน่นอน ซึ่งต่อมาการคาดการณ์ของฟ่านเจิงก็เป็นจริง เพราะภายหลังหลิวปังได้รบชนะเซี่ยงอวี่และกลายเป็นฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่ (漢高祖) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น (漢 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ.220) ในที่สุด

  1. จิบสุราถกวีรบุรุษ (煮酒論英雄) : บทสนทนาตัดสินชะตาเล่าปี่

—–ในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (東漢 ค.ศ.25- 200) โจโฉ (曹操) ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี สำเร็จราชการแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ (献帝) ทำให้โจโฉมีอำนาจล้นพ้นในราชสำนัก ตังสิน (董承) แม่ทัพผู้ภักดีต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ชักชวนเล่าปี่ (劉備) ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้มาร่วมกันกำจัดโจโฉ เล่าปี่เกรงกลัวว่าโจโฉจะหวาดระแวงแล้วกำจัดตนทิ้งเสีย จึงต้องยอมลดตัวไปปลูกผักทำไร่เยี่ยงเกษตรกรที่สวนหลังตำหนัก เพื่อแสดงให้โจโฉเห็นว่าตนปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษเรียบง่าย ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจการเมืองการปกครอง

—–จนกระทั่งวันหนึ่งโจโฉก็ส่งคนมาเชิญเล่าปี่ไปพบ และจัดเตรียมสุรากับลูกบ๊วยไว้รับรองเล่าปี่ที่ศาลาในสวน ทั้งสองคนจิบสุราไปพลางเสวนาไปพลาง ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดครึ้มไปด้วยเมฆดำและมีฝนตกหนัก โจโฉถามเล่าปี่ว่า “ท่านว่าในยุคนี้ใครกันคือวีรบุรุษ” เล่าปี่แสร้งทำเป็นคนซื่อเอ่ยตอบไปสักสามสี่คน โจโฉก็ส่ายหน้าปฏิเสธพลางตอบกลับไปว่า “ตอนนี้มีเพียงท่านกับข้าสองคนเท่านั้นที่เป็นวีรบุรุษ” เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจนทำตะเกียบหล่นลงพื้น เดชะบุญที่เวลานั้นเกิดฟ้าร้องดังขึ้นพอดี เล่าปี่จึงฉวยโอกาสแสร้งก้มลงไปเก็บตะเกียบ พร้อมกล่าวว่า “ข้าตกใจเสียงฟ้าร้อง จึงทำตะเกียบหล่นลงพื้น”  โจโฉจึงถามกลับด้วยท่าทีเย้ยหยันว่า “ท่านนั้นองอาจสมชายชาตรี กลัวฟ้าร้องด้วยหรือ“ เล่าปี่จึงตอบกลับไปว่า “แม้แต่กษัตริย์หรือปราชญ์เมธี หากได้ยินเสียงฟ้าร้องก็ย่อมเกิดอาการลืมตัวเป็นธรรมดา แล้วอย่างข้าจะไม่กลัวได้อย่างไรกันเล่า” เมื่อโจโฉได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าเล่าปี่เป็นแค่คนขลาดเขลาเบาปัญญา มิอาจเป็นเสี้ยนหนามของเขาได้อย่างแน่นอน จึงรู้สึกโล่งใจและหมดระแวงในตัวของเล่าปี่นับแต่นั้นมา

—–ด้วยปฏิภาณไหวพริบของเล่าปี่ในการกลบเกลื่อนความจริงนี้เองที่ช่วยให้เขารอดพ้นจากการเพ่งเล็งเอาชีวิตของโจโฉ และกลายเป็นบุคคลสำคัญที่แย่งชิงอำนาจกับโจโฉในภายหลังนั่นเอง

  1. สุราหนึ่งจอกรวบคืนอำนาจทหาร (杯酒釋兵權) : กุศโลบายอันแยบยลของซ่งไท่จู่

—–ในช่วงต้นของราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋 ค.ศ.960- 1127) หลังจากฮ่องเต้ซ่งไท่จู่ (宋太祖) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงครึ่งปีก็เกิดกบฏขึ้น ซ่งไท่จู่ทรงออกศึกเอง ต้องสูญเสียไพร่พลมากมายกว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงหวั่นพระทัยอยู่ตลอดเวลาว่าภายภาคหน้าบ้านเมืองจะต้องเกิดกบฏขึ้นอีกหลายครั้งเป็นแน่

—–จ้าวผู่ (趙普) อัครมหาเสนาบดีจึงทูลแนะนำว่า “เหตุที่บ้านเมืองวุ่นวาย เกิดกบฏขึ้นหลายครั้งตั้งแต่ราชวงศ์ถังเป็นต้นมา ก็ด้วยขุนนางใหญ่ประจำท้องถิ่นมีอำนาจมากเกินไป แม้แต่แม่ทัพใหญ่แห่งกองราชองครักษ์อย่างสือโส่วซิ่น (石守信) และหวังเสิ่นฉี (王審琦) ก็ถือว่ามีกำลังทหารในมือมากเกินไป ถึงแม้แม่ทัพทั้งสองจะไม่ก่อกบฏ แต่ก็ไม่มีความสามารถในการควบคุมเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาได้ดีเท่าที่ควร หากทหารเหล่านี้ก่อกบฏขึ้น ทั้งสองก็ไม่น่าจะยับยั้งสถานการณ์ได้ทัน ถ้ารวบกำลังทหารคืนสู่ราชสำนักได้ บ้านเมืองก็จะสงบเรียบร้อย”  ซ่งไท่จู่นำคำเตือนจ้าวผู่ไปคิดทบทวนก็เห็นเป็นจริงทุกประการ

—–ผ่านไปไม่กี่วัน ซ่งไท่จู่รับสั่งให้จัดงานเลี้ยงขึ้นในวังหลวง และเชิญเหล่าแม่ทัพทั้งหลายมาร่วมงาน รวมทั้งสือโส่วซิ่นและหวังเสิ่นฉี ซ่งไท่จู่ทรงยกจอกเหล้าขึ้นพร้อมตรัสแก่เหล่าแม่ทัพว่า “หากไม่มีพวกท่านคอยช่วยเหลือ ข้าก็คงไม่อาจมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ แต่การเป็นฮ่องเต้นั้นยากลำบากนัก เพราะตำแหน่งนี้ ใครๆ ก็อยากเป็นกันทั้งนั้น สำหรับพวกเจ้าแล้ว ข้าย่อมเชื่ออย่างสนิทใจว่าล้วนจงรักภักดีกับข้าทั้งสิ้น แต่เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาของพวกเจ้าเล่า รู้ได้อย่างไรว่าไม่มีใครที่ละโมบโลภมาก อยากได้ทรัพย์สมบัติในท้องพระคลัง หรือบังอาจคิดการใหญ่อยากได้บัลลังก์ของข้า หากพวกมันก่อกบฏขึ้นมา พวกเจ้าจะจัดการอย่างไรได้เล่า”

—–สือโส่วซิ่นฟังมาถึงจุดนี้ก็รู้ว่าภัยมาถึงตัวแล้ว จึงรีบโขกศีรษะกับพื้น น้ำตาไหลพราก พร้อมทูลว่า “กระหม่อมเป็นคนโง่เขลา ไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย พระองค์โปรดช่วยชี้ทางให้ด้วย” ซ่งไท่จู่ตรัสตอบว่า “ข้าว่าท่านก็ชรามากแล้ว ควรส่งมอบกำลังทหารทั้งหมดในมือคืนให้แก่ราชสำนักเสียที แล้วเกษียณอายุราชการกลับบ้านเกิด พักผ่อนหย่อนใจในช่วงบั้นปลายชีวิตไม่ดีกว่าหรือ” สือโส่วซิ่นได้ยินดังนั้น ก็น้อมรับพระบัญชาของซ่งไท่จู่ทันที

—–วันต่อมาเหล่าแม่ทัพทั้งหลายต่างถวายฎีกา โดยต่างทูลว่าตนเองชรามากแล้ว โรคภัยต่างๆ ก็รุมเร้า จึงขอเกษียณอายุราชการกลับบ้านเกิด ซ่งไท่จู่ก็เห็นควรแล้วรวบเอากองกำลังทหารทั้งหมดกลับคืนสู่ราชสำนัก พร้อมพระราชทานเงินก้อนใหญ่ให้เหล่าแม่ทัพได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

—–หลังจากนั้น พระองค์ทรงจัดตั้งระบบการทหารใหม่ โดยเลือกทหารเอกในกองเป็นทหารราชองครักษ์ และทรงบัญชาการด้วยพระองค์เอง ราชวงศ์ซ่งเหนือจึงมีเสถียรภาพทางการเมืองการปกครองมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากกุศโลบายอันแยบยลของฮ่องเต้ซ่งไท่จู่ที่ใช้เพียงเหล้าหนึ่งจอกกับคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น

 

[1]เซ่อ (瑟) เป็นเครื่องดนตรีโบราณประเภทเครื่องสายของจีน ตัวเครื่องทำด้วยไม้ มีทั้งหมด 25 สาย โดยแต่ละสายมีความหนาบางแตกต่างกัน ก่อเกิดเสียงสูงต่ำที่หลากหลาย เวลาเล่นวางเครื่องนอนลง แล้วใช้นิ้วดีดให้เกิดเสียง

[2]เซี่ยงอวี่เป็นลูกหลานในตระกูลขุนศึกของรัฐฉู่ และเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งปลายยุคราชวงศ์ฉิน ต่อมาร่วมกับหลิวปังโค่นล้มราชวงศ์ฉินได้สำเร็จ เซี่ยงอวี่จึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็น ‘ฌ้อปาอ๋อง’ (楚霸王) หมายถึง อ๋องแห่งฉู่ผู้ยิ่งใหญ่ และสถาปนาหลิวปังขึ้นเป็น ‘ฮั่นอ๋อง’ (漢王) ภายหลังเซี่ยงอวี่และหลิวปังแตกคอกัน จึงทำสงครามฉู่-ฮั่นแย่งชิงอำนาจอยู่ 4 ปี สุดท้ายเซี่ยงอวี่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ต้องถอยร่นไปยังแม่น้ำอูเจียง (烏江) แล้วตัดสินใจเชือดคอปลิดชีพตนเองในที่สุด

[3]ในที่นี้หมายถึง ที่ราบกวนจง หรือที่ราบแม่น้ำเว่ย (渭河平原) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บริเวณตอนกลางของมณฑลส่านซี (陝西) เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้อยู่ตรงกลางระหว่างด่านป้อมปราการ 4 แห่ง และมีปราการทางธรรมชาติคือ ที่ราบสูงทิศเหนือของมณฑลส่านซีและเทือกเขาฉินหลิ่ง (秦嶺) ทางทิศใต้ พื้นที่นี้จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่แต่ละฝ่ายต้องการครอบครอง

[4]พื้นที่บริเวณชานเมืองเสียนหยาง ปัจจุบันอยู่ในเขตหลินถง (临潼) เมืองซีอาน (西安) มณฑลส่านซี

 

เรื่องโดย พงศ์ศิษฏ์ อุดหนุนสมบัติ