– ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7 ที่นครเมกกะ บริเวณคาบสมุทรอาหรับ ก่อนจะเผยแผ่ไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเข้าสู่แผ่นดินจีนช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 ปัจจุบันถือเป็น 1 ใน 5 ศาสนาหลักของจีน มีชาวจีนนับถือประมาณ 30 ล้านคน ชาวจีนในแต่ละยุคเรียกชื่อศาสนาอิสลามแตกต่างกันไป ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (宋 ค.ศ. 960-1279) และราชวงศ์หยวน (元 ค.ศ. 1271-1368) เรียกว่า ‘ถ่าชีเจี้ยว’ (大食教) สมัยราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) เรียกว่า ‘เทียนฟางเจี้ยว’ (天方教) และ ‘หุยหุยเจี้ยว’ (回回教) ปลายสมัยราชวงศ์หมิงถึงราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616-1911) เรียกว่า ‘ชิงเจินเจี้ยว’ (清真教) ยุคสาธารณรัฐ (民国) เรียกว่า ‘หุยเจี้ยว’ (回教) กระทั่ง ค.ศ. 1956 เป็นต้นไปจึงเรียกว่า ‘ศาสนาอิสลาม’ (伊斯蘭教) ตามแบบสากล
– กลุ่มชาติพันธุ์หลักที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศจีน ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์หุย (回族) กลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์ (維吾爾族) กลุ่มชาติพันธุ์คาซัค (哈薩克族) กลุ่มชาติพันธุ์ตงเซียง (東鄉族) กลุ่มชาติพันธุ์เคอร์กิส (柯爾克孜族) กลุ่มชาติพันธุ์ซาลาร์ (撒拉族) กลุ่มชาติพันธุ์ทาจิก (塔吉克族) กลุ่มชาติพันธุ์อุซเบก (烏孜別克族) กลุ่มชาติพันธุ์เป่าอัน (保安族) และกลุ่มชาติพันธุ์ทาทาร์ (塔塔爾族) ซึ่งกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น เขตปกครองตนเองซินเจียง (ชนเผ่าอุยกูร์) (新疆維吾爾自治區) เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ย (ชนเผ่าหุย) (寧夏回族自治區) มณฑลกานซู่ (甘肅省) มณฑลชิงไห่ (青海省) มณฑลส่านซี (陝西省) มณฑลเหอหนาน (河南省) มณฑลเหอเป่ย (河北省) มณฑลยูนนาน (雲南省) มณฑลซานตง (山東省) มณฑลซานซี (山西省) มณฑลอานฮุย (安徽省) มหานครปักกิ่ง (北京) มหานครเทียนจิน (天津) และบางส่วนอาศัยอยู่บนเกาะไต้หวัน (台灣) ฮ่องกง (香港) และมาเก๊า (澳門)
ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงทักทายชาวอิสลามที่เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ย (ชนเผ่าหุย)
ศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีน
– ชาวมุสลิมในประเทศจีนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี มีเพียงชาวมุสลิมในซินเจียงที่นับถือนิกายชีอะฮ์ ส่วนลัทธิศูฟีซึ่งเป็นลัทธิที่แปลงคำสอนมาจากนิกายซุนนีและเน้นความเชื่อทางจิตวิญญาณนั้นแพร่หลายในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ศาสนาอิสลามที่แพร่หลายไปยังพื้นที่ต่างๆ ของจีน แบ่งได้เป็น 2 พื้นที่หลัก คือ อิสลามพื้นที่มณฑลด้านใน (ใช้ภาษาจีน) และอิสลามพื้นที่ซินเจียง (ใช้ภาษาเตอร์กิก)
– ดินแดนเอเชียกลางติดต่อกับจีนผ่านเส้นทางสายไหมมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น แต่แวดวงวิชาการยังไม่อาจสรุปปีที่ศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีนได้แน่ชัด ทว่านักประวัติศาสตร์โดยทั่วไปเชื่อว่าศาสนาอิสลามเข้ามาในแผ่นดินจีนเมื่อ ค.ศ. 651 ซึ่งตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิถังเกาจง (唐高宗 ค.ศ. 628-683) โดยเผยแผ่ในหลายพื้นที่ เช่น เฉวียนโจว (泉州) กว่างโจว (廣州) ฯลฯ จากบันทึกใน ‘คัมภีร์จิ้วถังซู’ 《舊唐書》 และ ‘คัมภีร์เช่อฝู่หยวนกุย’ 《冊府元龜》ระบุว่าในปีดังกล่าวท่านอุษมานซึ่งดํารงตําแหน่งกาหลิบหรือประมุขของอาณาจักรอิสลามส่งคณะทูตมายังเมืองฉางอัน (長安) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีนในขณะนั้น คณะทูตเข้าเฝ้าเพื่อแนะนำโลกอาหรับและข้อปฏิบัติของศาสนาอิสลามแก่จักรพรรดิถังเกาจง การส่งคณะทูตมาเยือนจีนในครั้งนี้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนอย่างกว้างขวางทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมระหว่างจีนกับอาณาจักรอิสลาม (ค.ศ. 632-1258)
ภาพวาดอาณาจักรอิสลาม
สมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง
– เป็นระยะเวลาประมาณ 600 ปีที่ศาสนาอิสลามแพร่หลายบนแผ่นดินจีนในช่วงแรก ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิถังเกาจงจนถึงปลายสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (南宋 ค.ศ. 1127-1279) ถือเป็นช่วงที่จีนและอาณาจักรอิสลามรักษาความสัมพันธ์และไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เนื่องจากแผ่นดินจีนมีพื้นที่ชายแดนติดกับเอเชียกลาง ประกอบกับการเดินทางผ่านเส้นทางสายไหมและการล่องเรือทางทะเลระหว่างทะเลจีนใต้กับอ่าวเปอร์เซีย มีการบันทึกว่าคณะทูตอาณาจักรอิสลามส่งเครื่องบรรณาการมาให้จักรพรรดิจีนทั้งหมด 39 ครั้ง ชาวมุสลิมโดยเฉพาะพ่อค้าในช่วงนั้นเดินทางมาประเทศจีนไม่ขาดสาย บางส่วนตั้งรกรากรวมกลุ่มกันในบริเวณพื้นที่ติดทะเลฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน และขายสินค้านานาชนิด เช่น เครื่องเทศ งาช้าง อัญมณี ยา นอแรด ฯลฯ ชาวจีนเรียกผู้คนกลุ่มนี้ว่า ‘ฟานเค่อ’ (蕃客 ชาวต่างชาติ) ‘ฟานซาง’ (蕃商 พ่อค้าต่างชาติ) หรือ ‘หูเจี่ย’ (胡賈 พ่อค้าต่างชาติ) การส่งเสริมการค้าของราชสำนักถังและซ่งส่งผลให้พ่อค้าวาณิชจำนวนไม่น้อยตั้งรกรากในประเทศจีนโดยไม่ยอมกลับประเทศ จึงมีคำเรียกชาวต่างชาติที่ไม่ยอมกลับประเทศว่า ‘จู้ถัง’ (住唐 ผู้ที่อาศัยในราชวงศ์ถัง)
– ชาวมุสลิมที่อพยพเข้ามาในสมัยราชวงศ์ถังยังนำพาเอาความเชื่อเรื่องศาสนาและวัฒนธรรมติดตัวมาด้วย การตั้งรกรากของพวกเขาเท่ากับช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมและศาสนาของตนเอง บางส่วนแต่งงานกับคนจีนและมีทายาท คนกลุ่มนี้จึงถือเป็นบรรพบุรุษมุสลิมในจีน พวกเขาเป็นมิตรกับชาวจีน ขณะเดียวกันก็เรียนรู้วัฒนธรรมจีน บ้างมีความสามารถด้านการค้าก็ช่วยราชสำนักให้มีรายรับมหาศาลจนได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนาง
สมัยราชวงศ์หยวนถึงต้นราชวงศ์หมิง
– สมัยราชวงศ์หยวนถึงต้นราชวงศ์หมิงถือเป็นช่วงสำคัญที่ศาสนาอิสลามแพร่หลายไปยังพื้นที่ต่างๆ ของจีนอย่างกว้างขวาง ช่วงนั้นชาวมองโกลบุกรุกเอเชียกลางและยุโรป จับเชลยศึกหลากหลายชาติมาไว้ที่จีน เช่น ชนชาติต่างๆ ในเอเชียกลาง ชาวเปอร์เซีย ชาวอาหรับ ฯลฯ พร้อมบังคับให้เข้าร่วมกับมองโกลเพื่อทำสงครามและรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียว เวลาเกิดสงครามเชลยศึกกลุ่มนี้ก็ช่วยรบ เวลาปกติก็เลี้ยงสัตว์ กระจัดกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือแถบมณฑลส่านซี มณฑลกานซู่ และมณฑลชิงไห่ บางส่วนเดินทางไปถึงตะวันตกเฉียงใต้ เจียงหนาน (江南 พื้นที่บริเวณตอนล่างของแม่น้ำแยงซีเกียงในปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่นครเซี่ยงไฮ้ บางส่วนของมณฑลเจียงซู มณฑลอันฮุย มณฑลเจียงซี มณฑลเจ้อเจียง ฯลฯ) และจงหยวน (中原 พื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำฮวงโหในปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่มณฑลเหอหนาน บางส่วนของมณฑลส่านซี มณฑลเหอเป่ย มณฑลซานซี มณฑลซานตง มณฑลเจียงซู และมณฑลอันฮุย) เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
– ช่วงต้นราชวงศ์หยวน มาร์โค โปโล นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ยังเคยพูดถึงชาวมุสลิมจีนในบันทึกการเดินทางที่ชื่อ ‘บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล’ หลายต่อหลายครั้ง เขาบันทึกว่าเมืองยาชื่อ (押赤 ปัจจุบันคือเมืองคุนหมิง) มีคนนับถือศาสนาอิสลามจำนวนมาก
– ในช่วงนี้พ่อค้าชาวมุสลิมอยู่รวมกันหนาแน่นในพื้นที่ต้าตู (大都 ปัจจุบันคือนครปักกิ่ง) กว่างโจว เฉวียนโจว หยางโจว (揚州) เวินโจว (溫州) ชิ่งหยวน (慶元 ปัจจุบันคือเมืองหนิงโป) เซี่ยงไฮ้ (上海) ซ่างตู (上都 ปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนหนึ่งของเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน) และฉางอัน (长安) เกิดมัสยิดขึ้นหลายแห่ง บางแห่งสร้างโดยชาวบ้านทั่วไปที่นับถือศรัทธา บางแห่งสร้างโดยขุนนางมุสลิม ระยะนี้ชาวมุสลิมกระจายตัวไปทั่วประเทศจีนอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีชาวฮั่น ชาวมองโกล และชาวอุยกูร์จำนวนมากที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามด้วยเหตุผลทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือผ่านการแต่งงาน
ชาวมุสลิมที่เมืองซีอานในปัจจุบัน
ปลายสมัยราชวงศ์หมิงถึงต้นราชวงศ์ชิง
– ช่วงเวลานี้กลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น กลุ่มชาติพันธุ์หุย กลุ่มชาติพันธุ์ซาลาร์ กลุ่มชาติพันธุ์ตงเซียง และกลุ่มชาติพันธุ์เป่าอัน ที่อาศัยอยู่ในแถบกานซู่ หนิงเซี่ย และชิงไห่ ได้รับอิทธิพลของลัทธิศูฟี เดิมทีลัทธิศูฟีได้เข้ามาในจีนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับความนิยม จนกระทั่งมีการประกาศยกเลิกมาตรการปิดกั้นทางทะเล (海禁) ปลายสมัยราชวงศ์หมิง การเดินทางระหว่างจีนและตะวันตกจึงสะดวกสบายมากขึ้น นักเผยแผ่ศาสนาจำนวนมากเดินทางมาเผยแผ่ลัทธิศูฟีที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมจีนเดินทางไปแสวงบุญที่นครเมกกะ ขณะเดียวกันก็เรียนรู้หลักของลัทธิศูฟีและกลับมาเผยแผ่ยังมาตุภูมิ ส่งผลให้ลัทธิศูฟีได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ช่วงกลางราชวงศ์ชิงและยุคสาธารณรัฐ
– สมัยราชวงศ์ชิงจนถึงต้นยุคสาธารณรัฐ เกิดความขัดแย้งทางสังคมและศาสนา หม่าว่านฝู (馬萬福 ค.ศ. 1849-1934) โต๊ะอิหม่ามกลุ่มชาติพันธุ์ตงเซียง พยายามเผยแผ่หลักการและคัมภีร์ของขบวนการวะฮาบีย์ (ขบวนการทางศาสนาหรือแขนงหนึ่งของศาสนาอิสลามนิกายซุนนี) พร้อมกับสถาปนานิกายอีเห้อหว่าหนี (依赫瓦尼มาจากคำว่า IKHWAN แปลว่า พี่น้อง เน้นความเป็นพี่น้องกันชองชาวโลก) ในแถบมณฑลกานซู่ หนิงเซี่ย และชิงไห่ ก่อนจะแพร่หลายไปยังมณฑลเหอหนาน ซานตง เหอเป่ย และซินเจียง ถือเป็นลัทธิที่ 2 ของอิสลามจีนที่แยกตัวออกมา
– ช่วงต้นยุคสาธารณรัฐ เกิดการปลุกกระแสปฏิรูปการศึกษาของประเทศ ด้วยแนวคิด ‘การศึกษากู้ชาติ’ (教育救國) และ ‘เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์กู้ชาติ’ (科技救國) ผู้ศึกษาศาสนาอิสลามบางส่วนจึงเสนอให้ปฏิรูปการศึกษาศาสนา ให้จัดตั้งโรงเรียนแบบใหม่ กระตุ้นให้มัสยิดปฏิรูปการศึกษาเป็นแบบสมัยใหม่ จนเกิดโรงเรียนอิสลามขึ้นหลายแห่ง
– ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา กลุ่มชาติพันธุ์หุยซึ่งเป็นมุสลิมกระจายตัวอยู่ในหลากหลายพื้นที่ เริ่มสร้างโรงเรียนประถมกว่า 500 แห่ง โรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยกว่า 30 แห่ง พร้อมทั้งเริ่มแก้ไขหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย นอกจากนี้ยังเกิดการจัดตั้งกลุ่มเกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรมอิสลามจีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาวัฒนธรรมและการศึกษาศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกลุ่มสังคมอิสลามที่สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลามและแพร่หลายไปในวงกว้าง เกิดสิ่งตีพิมพ์เกี่ยวกับศาสนาอิสลามจำนวนมากมาย มีการแปลคัมภีร์อัลกุรอานและคัมภีร์เล่มอื่นๆ เป็นภาษาจีนและภาษาอุยกูร์
คัมภีร์อัลกุรอานฉบับภาษาจีน
– การที่ศาสนาอิสลามแพร่หลายไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานกว่า 5,000 ปีอย่างจีน แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และการยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างมั่นคงของอิสลามิกชนจีน ศาสนาที่มีผู้นับถือเป็นอันดับ 2 ของโลกได้หยั่งรากลึกลงบนแผ่นดินมังกรมานานนับพันปี ขณะเดียวกันก็ผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิมจนเกิดเป็นวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครอย่างน่าอัศจรรย์
มัสยิดชิงเจิน ศาสนสถานอิสลามสถาปัตยกรรมจีน
– มัสยิดชิงเจินแห่งเมืองซีอาน (西安大清真寺) เป็นมัสยิดสำหรับชาวมุสลิมเชื้อสายจีนเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ลักษณะโครงสร้างของมัสยิดเป็นสถาปัตยกรรมจีน แต่รายละเอียดและลวดลายภายในกลับได้รับอิทธิพลศิลปะอิสลาม แตกต่างจากมัสยิดอื่นที่มีการออกแบบหลังคาเป็นโดม มีพื้นที่ประมาณ 13,000 ตารางเมตร สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 742 ในสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง (唐玄宗 ค.ศ. 685-762) แห่งราชวงศ์ถัง และมีการซ่อมแซมปรับปรุงครั้งใหญ่ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนกับศาสนาอิสลามได้อย่างลงตัว ตั้งอยู่ที่เมืองซีอาน มณฑลส่านซี
หอคอยสุเหร่าแบบจีน
อาคารละหมาดในมัสยิดชิงเจิน
เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์