—–เมื่อสมบัติล้ำค่าของประเทศอยู่ในภาวะหมิ่นเหม่จากภัยสงคราม ผู้นำจึงสั่งย้ายสมบัติไปยังที่ปลอดภัย ภารกิจครั้งนี้ต้องประสบกับอุปสรรคนานัปการ ทั้งเรื่องจำนวนสมบัติมหาศาลนับหมื่นลัง การคุ้มกันสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้ ระยะทางไกลสุดลูกหูลูกตา เวลาอันยาวนานไม่จบไม่สิ้น น่าติดตามว่าภารกิจขนย้ายสมบัติครั้งนี้สำเร็จผลได้อย่างไร
สมบัติท่ามกลางวิกฤตการณ์
—–ช่วงหนึ่งในยุคสาธารณรัฐจีน (中華民國時期) จักรวรรดิญี่ปุ่นมีอำนาจบริหารทางรถไฟแมนจูเรียสายใต้อย่างเบ็ดเสร็จ รัฐบาลญี่ปุ่นส่งทหารมาควบคุมดูแลความปลอดภัยของทางรถไฟตลอดเวลา ทว่าวันที่ 18 กันยายน 1931 รางรถไฟส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองมุกเดน (ปัจจุบันคือเมืองเสิ่นหยาง 瀋陽) เกิดระเบิดขึ้น กองทัพญี่ปุ่นจึงใช้เหตุการณ์นี้มาเป็นข้ออ้างในการรุกรานแมนจูเรีย (滿洲) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของจีน เหตุการณ์นี้เรียกว่ากรณีมุกเดน (九一八事變) ส่งผลให้สมบัติล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์กู้กงเมืองเป่ยผิง (北平 ชื่อเดิมของปักกิ่ง) ต้องเผชิญภาวะวิกฤต
ทหารญี่ปุ่นคุมตัวชาวจีนในกรณีมุกเดน
—–จางจี้ (張繼 ค.ศ. 1882-1947) สมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง (國民黨) เห็นว่าควรเคลื่อนย้ายสมบัติทั้งหมดลงใต้เพื่อความปลอดภัย จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์กู้กงเป่ยผิงบรรจุสมบัติลงลังไม้เพื่อเตรียมเคลื่อนย้าย ฤดูใบไม้ร่วงปี 1932 เจ้าหน้าที่เริ่มคัดเลือกและบรรจุหีบห่อสมบัติชิ้นสำคัญ การคัดเลือกกินเวลาหลายเดือน เนื่องจากเป็นงานละเอียด จนในที่สุดได้สมบัติล้ำค่า ประกอบด้วยงานจิตรกรรมเกือบ 9,000 ภาพ เครื่องกระเบื้องกว่า 2.7 หมื่นชิ้น เครื่องสำริด เช่น กระจกสำริด ตราประทับสำริดกว่า 2,600 ชิ้น เครื่องหยกจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีหนังสือชุด เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) และราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ. 1616-1911) อีกด้วย
เจ้าหน้าที่บรรจุสมบัติ
—–ขั้นตอนบรรจุสมบัติลงลังไม้นั้น เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดสมบัติแต่ละชิ้น ตรวจสอบชื่อ อายุ ขนาด สี และลวดลาย พร้อมทั้งบันทึกหมายเลขและจัดหมวดหมู่ มีการแบ่งเจ้าหน้าที่เป็นคณะทำงานชุดเล็กๆ เพื่อปฏิบัติงานตามประเภท เช่น เครื่องสำริด เครื่องกระเบื้อง เครื่องหยก ภาพวาด ฯลฯ
—–นอกจากนี้เจ้าหน้าที่กู้กงยังเชิญผู้เชี่ยวชาญจากร้านจำหน่ายวัตถุโบราณในย่านหลิวหลีฉ่าง (琉璃廠) มาถ่ายทอดวิธีห่อสมบัติและบรรจุลงลังไม้เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ถึงแม้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณคอยให้คำแนะนำแล้ว แต่งานหีบห่อต้องอาศัยความละเอียด บางเรื่องเจ้าหน้าที่ต้องลองผิดลองถูกเอง มีการทดสอบด้วยการโยนลังลงพื้น เจ้าหน้าที่บรรจงห่อสมบัติทีละชิ้นอย่างบรรจงโดยเฉพาะเครื่องกระเบื้องซึ่งมีจำนวนหนึ่งในสามของสมบัติทั้งหมด เนื่องจากเสียหายได้ง่าย จานกระเบื้องแต่ละใบถูกพัน 5-6 ทบ บุด้วยฝ้าย ห่อด้วยกระดาษอีกชั้น สุดท้ายใช้เชือกมัดแล้วจึงบรรจุลงลังไม้ เมื่อบรรจุเสร็จเรียบร้อยก็ติดกระดาษประทับตราพิพิธภัณฑ์ วัน เดือน และปีที่ปิดผนึก
เจ้าหน้าที่ขนลังสมบัติในพระราชวังต้องห้าม
สมบัติออกเดินทาง
—–เมื่อจีนเสียด่านซานไห่กวน (山海關) ให้แก่กองทัพญี่ปุ่นในวันที่ 2 มกราคม 1933 คณะกรรมการของพิพิธภัณฑ์กู้กงเป่ยผิงลงความเห็นว่าจะทยอยเคลื่อนย้ายสมบัติในพิพิธภัณฑ์ไปยังเซี่ยงไฮ้ (上海) คืนวันที่ 5 กุมภาพันธ์ สมบัติล็อตแรก 2,118 ลังก็เคลื่อนออกจากประตูเสินอู่ (神武門) เดินทางลงใต้
รถลากขนสมบัติหน้าพิพิธภัณฑ์กู้กง
—–กุมภาพันธ์-มีนาคม 1933 มีการรวบรวมสมบัติล้ำค่ากว่า 13,427 ลังกับอีก 64 ห่อ เดินทางจากเป่ยผิงไปยังเซี่ยงไฮ้ สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลได้รับการรวบรวมจากพระราชวังกู้กงเป่ยผิง สถานที่จัดแสดงวัตถุโบราณเป่ยผิง (北平古物陳列所 พิพิธภัณฑ์แห่งแรกของจีนที่รวบรวมสมบัติจากพระราชวัง) พระราชวังฤดูร้อน (頤和園) และโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน (國子監) แต่ละล็อตมีผู้เชี่ยวชาญที่กู้กงและทหารเดินทางไปด้วย
เส้นทางเคลื่อนสมบัติ
—–สมบัติที่มาถึงเซี่ยงไฮ้ถูกเก็บไว้ในเขตเช่าฝรั่งเศสที่ถนนย่าเอ่อร์เผย (亞爾培路 ปัจจุบันคือถนนส่านซีใต้) ครั้นโกดังเก็บของที่พระราชวังเฉาเทียน (朝天宮) สร้างเสร็จเมื่อปลายปี 1936 สมบัติก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังหนานจิง (南京) ปี 1937 เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นกับกองทัพคณะปฏิวัติแห่งชาติจีนที่สะพานมาร์โค โปโลซึ่งชาวจีนเรียกว่า ‘เหตุการณ์วันที่ 7 เดือน 7’ (七七事變) สมบัติซึ่งย้ายมาจากกู้กงก็ถูกผนวกรวมกับสมบัติที่พิพิธภัณฑ์ส่วนกลางแห่งชาติ (國立中央博物院 ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์หนานจิง)
เหตุการณ์ปะทะที่สะพานมาร์โค โปโล
จากนั้นจึงแบ่งสมบัติเป็นสามส่วน ขนแยกสามเส้นทางไปทางตะวันตกของประเทศ ได้แก่
- เส้นทางเหนือ ขนสมบัติ 7,287 ลัง เดินทางไปที่อำเภอเอ๋อเหมยเซี่ยน (峨嵋縣)
- เส้นทางกลาง ขนสมบัติ 9,331 ลัง เดินทางไปที่อำเภอเล่อซานเซี่ยน (樂山縣)
- เส้นทางใต้ ขนสมบัติ 80 ลัง เดินทางไปที่อำเภอปาเซี่ยน (巴縣)
—–สมบัติ 80 ลังที่ขนในเส้นทางใต้แม้มีจำนวนน้อยกว่า แต่ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่ง ประกอบด้วยกระดองเต่าที่สลักอักษรโบราณ (甲骨文) ภาชนะโบราณจงติ่ง (鐘鼎) อักษรศิลาจารึก (碑拓) ภาพทัศนาจรซีซาน《溪山行旅圖》ของฟ่านควาน (范寬 ประมาณ ค.ศ. 950-1032) ภาพลมพัดสนหมื่นหุบเขา《萬壑松風圖》ของหลี่ถัง (李唐 ค.ศ. 1066-1150) ภาพชิงหมิงซ่างเหอถู《清明上河圖》ของจางเจ๋อตวน (張擇端 ประมาณ ค.ศ. 1085-1145) ส่วนสมบัติเส้นทางใต้เก็บไว้ชั่วคราวที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยหูหนาน (湖南大學) ขณะนั้นหม่าเหิง (馬衡 ค.ศ.1881-1955) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์กู้กงเป่ยผิงสั่งให้ขบวนสมบัติเส้นทางกลางออกเดินทาง ส่วนตนเองรีบเดินทางไปฉางซา เขาพบว่าตีนเขาเยว่ลู่ซาน (岳麓山) เหมาะสำหรับการขุดโพรงเพื่อซ่อนสมบัติ ไม่กี่อาทิตย์โพรงก็ขุดแล้วเสร็จ ต่อมาหม่าเหิงได้รับข่าวว่ากองทัพญี่ปุ่นกำลังจะทิ้งระเบิดที่ฉางซา จึงต้องรีบขนย้ายสมบัติไปยังกุ้ยโจว (貴州) โดยด่วน หลังจากสมบัติถูกย้ายออกไปไม่นาน เครื่องบินกองทัพญี่ปุ่นจำนวนมากก็โจมตีจนห้องสมุดของมหาวิทยาลัยหูหนานราบเป็นหน้ากลอง
—–ขบวนสมบัติเส้นทางเหนือก็ประสบภัยไม่แพ้กัน ขณะขนถ่ายสมบัติจากรถไฟลงเรือ เครื่องบินกองทัพญี่ปุ่นก็บุกทิ้งระเบิดจนสถานีรถไฟเจิ้งโจว (鄭州) กลายเป็นทะเลเพลิง เจ้าหน้าที่เสี่ยงตายขับรถไฟฝ่าเปลวเพลิงออกไปจอดในที่ปลอดภัย ทั้งสามเส้นทางใช้เวลากว่า 10 ปีจึงเดินทางถึงมณฑลเสฉวน
เส้นทางขนสมบัติ
—–จนกระทั่งสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 สิ้นสุด จึงย้ายสมบัติของทั้งสามแห่งไปรวมที่ฉงชิ่ง (重慶) และส่งกลับหนานจิงอีกครั้งในปีถัดมา สมบัติที่หนานจิงส่วนหนึ่งเป็นของสะสมที่ตกทอดกันมาในวังหลวง บางส่วนเป็นสมบัติของประเทศ ในบรรดาสมบัติล้ำค่า มีสมบัติที่เลื่องลือหลายชิ้น เช่น เหมากงติ่ง (毛公鼎) หยกผักกาดขาว (翠玉白菜) หินหมูสามชั้น (東坡肉石) งานเขียนพู่กันไคว่เสวี่ยสือฉิงเทีย《快雪時晴帖》และแท่นหินสือกู่ (石鼓) นับ 10 ชิ้น ฯลฯ
‘แบ่งสมบัติ’
—–ปลายปี 1948 ถึงต้นปี 1949 พรรคก๊กมินตั๋งต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อชิงอำนาจปกครองแผ่นดินจีน ก่อนจะพ่ายแพ้และถอยร่นไปยังเกาะไต้หวันพร้อมกับตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่นั่น ขณะเดียวกันก็สั่งให้เจ้าหน้าที่กู้กงแบ่งสมบัติจำนวน 2,972 ลัง (คิดเป็นร้อยละ 22 ของสมบัติทั้งหมด) ขนไปยังเกาะไต้หวันด้วย ปัจจุบันสมบัติดังกล่าวเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์กู้กงไทเป (台北故宮博物院)
—–ปี 1951 สมบัติซึ่งค้างอยู่ที่หนานจิงกว่า 1 หมื่นลังถูกขนกลับไปยังพิพิธภัณฑ์กู้กงปักกิ่ง เหลืออีก 2,221 ลังซึ่งยังคงอยู่ที่โกดังหนานจิง และมีแผนว่าจะขนกลับไปยังนครปักกิ่งในอนาคต
แผนที่เส้นทางการเคลื่อนย้ายสมบัติ
ระหว่างทาง
—–สมบัติถูกขนไปไกลกว่าครึ่งประเทศด้วยยานพาหนะหลายชนิด ทั้งรถลาก รถยนต์ รถไฟ และเรือ เป็นระยะทางกว่า 2 หมื่นกิโลเมตร กินเวลายาวนานถึง 15 ปี จึงเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดคิดขึ้นมากมาย เช่น เจ้าหน้าที่ทำปืนลั่นที่เขาเล่อซาน รถบรรทุกพลิกคว่ำ ลังสมบัติตกน้ำ ซึ่งก่อความเสียหายจนไม่อาจซ่อมแซมสมบัติบางชิ้นให้เหมือนเดิมได้ แต่ถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนสมบัติทั้งหมดในภารกิจครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือไม่มีสมบัติสูญหายแม้แต่ชิ้นเดียว!
—–ตลอดภารกิจเคลื่อนย้ายสมบัติต้องปกปิดเป็นความลับเพื่อความปลอดภัย มีครั้งหนึ่งที่ข่าวการเคลื่อนสมบัติรั่วไหลที่เมืองสวีโจว (徐州) กองโจรกลุ่มหนึ่งวางแผนปล้นรถไฟที่ใช้ขนสมบัติ แต่ทางการท้องถิ่นปราบปรามได้ทันก่อนที่รถไฟจะวิ่งผ่าน
—–สถานที่เก็บสมบัติชั่วคราวในสมัยนั้นไม่ได้เป็นอาคารที่ปลอดภัยเหมือนในปัจจุบัน แต่มักเก็บไว้ที่ศาลบรรพชน วัด หรือถ้ำตามภูเขา ‘ศัตรู’ จึงไม่ได้มีแค่กองทัพญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโจรท้องถิ่น ความชื้น มด ปลวก หนู ฯลฯ ในการป้องกันแมลงจำพวกปลวก ความชื้น และเชื้อโรคนั้น เจ้าหน้าที่ต้องนำสมบัติออกมาตากแดดเป็นระยะ การตากแดดต้องมีเทคนิค เพราะสมบัติแต่ละชิ้นใช้เวลาตากแดดไม่เท่ากัน บางชิ้นก็ไม่ควรตากแดด นอกจากนี้ยังเชิญคนกำจัดแมลงมาฉีดยาฆ่าแมลง ทุกขั้นตอนต้องมีผู้เชี่ยวชาญและทหารดูแลเฝ้าระวังและเซ็นชื่อเพื่อรับผิดชอบ
—–นอกจากนี้ขณะเดินทางเจ้าหน้าที่ต้องบันทึกรายละเอียดทุกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นเวลาออกเดินทาง ประเภทยานพาหนะ การเปลี่ยนถ่ายยานพาหนะ การทำความสะอาด ฯลฯ
—–กล่าวกันว่าขณะปฏิบัติภารกิจ ชะตาชีวิตของเจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสมบัติทั้งหมด คนในกู้กงในยุคนั้นมองว่าสมบัติเหล่านี้สำคัญยิ่งชีพ เป็นสิ่งที่สูงส่ง จึงดูแลรักษาเป็นอย่างดี คุณงามความดีของเจ้าหน้าที่ในครั้งนั้นไม่เคยถูกลืมเลือนจากใจของประชาชนชาวจีน
ภาพถ่ายเจ้าหน้าที่กู้กง
—–ปี 2010 ในวาระครบรอบการสร้างพิพิธภัณฑ์กู้กง 85 ปี พระราชวังต้องห้าม 590 ปี และครบรอบชัยชนะเหนือลัทธิฟาสซิสต์ 65 ปี พิพิธภัณฑ์กู้กงปักกิ่งได้จัดกิจกรรมสำรวจเส้นทางการเคลื่อนสมบัติลงใต้ ส่วนพิพิธภัณฑ์กู้กงไต้หวันและพิพิธภัณฑ์หนานจิงก็ขานรับงานครั้งนี้ การเดินทางกินเวลาครึ่งเดือน ผ่านสี่มณฑลแปดเมือง ตั้งแต่หนานจิง กุ้ยหยาง (貴陽) อันซุ่น (安順) เป่าจี (寶雞) ฮั่นจง (漢中) เฉิงตู (成都) ฉงชิ่ง จนถึงเอ๋อเหมย กระทั่งสิ้นสุดเมื่อ 18 มิถุนายน 2010 ประเด็นสำคัญของการสำรวจเส้นทางคือการย้อนรำลึกถึงผู้คนและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เยี่ยมชมสมบัติที่ยังถูกทิ้งไว้ และศึกษาเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่
—–วีรกรรมการเคลื่อนย้ายสมบัติในครั้งนี้ต้องอาศัยแรงกายแรงใจจากผู้มีส่วนร่วมทุกคน เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่และบ้านเกิดเมืองนอน เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นส่วนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์จีน เพราะช่วยรักษาสมบัติล้ำค่าของประเทศเอาไว้ไม่ให้เสียหาย แม้ว่าภารกิจจะยากลำบาก แต่ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ตามความมุ่งมั่นอดทนและเสียสละของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏนาม…
เรื่องโดย กลิ่นเก่า