—–ในพจนานุกรมภาษาจีนปัจจุบัน 《現代漢語詞典》 ให้นิยามคำว่า 貞節[1] หรือ พรหมจรรย์ ไว้ว่า ‘คุณธรรมในสังคมยุคศักดินาที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัวและไม่แต่งงานใหม่เมื่อหย่าร้างหรือสามีตาย’

—–ค่านิยมที่แฝงอยู่ในอักษรจีนสองตัวนี้ ถูกสร้างขึ้นให้เป็นพันธนาการกักขังเพศหญิง จำกัดบทบาทหน้าที่ไม่ให้มีสิทธิ์มีเสียง และให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ปราศจากความสัมพันธ์ทางเพศตลอดชีวิต แต่เหตุใดการครองพรหมจรรย์จึงได้รับการส่งเสริมและยกย่องให้เป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง

—–ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ทัศนคติเกี่ยวกับ ‘พรหมจรรย์’ ถูกสร้างขึ้นและปลูกฝังให้อยู่คู่กับสังคมจีนมาช้านาน จนส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของผู้หญิงรุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้หญิงยุคโบราณจำนวนไม่น้อยต่างพากันครองพรหมจรรย์เพื่อรักษาตัวให้มีคุณค่าตามค่านิยม ด้วยเหตุผลสำคัญประการเดียวคือ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคม

—–ในสังคมยุคศักดินา ผู้หญิงที่ครองพรหมจรรย์มี 2 แบบ คือ หญิงพรหมจรรย์และหม้ายพรหมจรรย์

  1. หญิงพรหมจรรย์ (貞節女子 หรือ 烈女) แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.1 ผู้หญิงที่ไม่แต่งงาน คือ ผู้หญิงที่รักษาพรหมจรรย์โดยตั้งปณิธานว่าจะไม่แต่งงาน เพราะเห็นว่าชีวิตหลังแต่งงานอาจไม่เหมาะสมกับตนเอง จึงตั้งใจจะอยู่ดูแลพ่อแม่จนกว่าชีวิตจะหาไม่

1.2 เกิดเหตุทำให้ไม่อาจแต่งงานได้ คือ ผู้หญิงที่มีคู่หมั้นอยู่แต่คู่หมั้นเสียชีวิต จึงครองตัวเป็นหญิงพรหมจรรย์ซึ่งอาจอยู่ที่บ้านตัวเองหรือบ้านคู่หมั้น คอยปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ของคู่หมั้นเหมือนตนเองเป็นลูกสะใภ้ของบ้าน

  1. หม้ายพรหมจรรย์ (貞節寡婦 หรือ 烈婦) คือ ผู้หญิงที่มีสามีแต่สูญเสียสามีไป จึงตั้งปณิธานว่าจะไม่แต่งงานมีสามีใหม่ การครองตัวเป็นหม้ายไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องทำงานเลี้ยงลูกเพียงคนเดียว พร้อมกับรักษาชื่อเสียงไม่ให้เป็นที่ติฉินนินทาว่ามีสามีใหม่

—–ผู้หญิงที่ครองพรหมจรรย์มีวิธีรักษาพรหมจรรย์หลากหลาย บางครั้งสุดโต่งจนดูพิสดาร เริ่มต้นด้วยการหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับเพศตรงข้าม รักษาตัวเองให้บริสุทธิ์จากเพศตรงข้าม ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อครหาในเชิงชู้สาว พัฒนาไปจนถึงขั้นหญิงหม้ายและหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานต้องฆ่าตัวตายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์หรือซื่อสัตย์ภักดี การสังเวยพรหมจรรย์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์เกิดขึ้นมากมายในประวัติศาสตร์จีน เช่น สมัยราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) มีเรื่องเล่าว่าหญิงสาวคนหนึ่งเผลอนอนกลางวันโดยที่หน้าต่างห้องแง้มเอาไว้ เมื่อตื่นขึ้นมาเธอเกิดสำนึกว่าตนเองผิดพลาดในการปกป้องพรหมจรรย์ จึงฆ่าตัวตายทันที ทั้งที่ตนเองไม่ได้ถูกล่วงเกินและพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีใครมาเห็นตอนนอนหลับ

—–สำหรับหญิงหม้ายเป็นการฆ่าตัวตายตามสามีเพื่อแสดงความซื่อสัตย์และภักดี ซึ่งอาจจะไม่ได้กระทำทันที แต่กระทำหลังจากสามีเสียชีวิตแล้ว 3 หรือ 7 วัน หรือเมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ดูแลตัวเองได้แล้ว นอกจากนี้หญิงหม้ายที่มีใบหน้างดงามอาจทำร้ายตัวเองด้วยการกรีดใบหน้าให้เสียโฉม เมื่อดูน่ารังเกียจก็ไม่เป็นที่หมายปองของชายอื่น

 

พัฒนาการแนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ในสังคมจีนยุคศักดินา

สมัยราชวงศ์ฉิน

—–หลังจากจักรพรรดิจิ๋นซี (秦始皇帝 260–210 ก่อนคริสต์ศักราช) รวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว การส่งเสริมขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีเพื่อหลอมรวมจิตใจถือเป็นภารกิจเร่งด่วน พระองค์ให้ความสำคัญแก่คุณสมบัติของผู้หญิงมากเป็นพิเศษ เหตุผลมาจากปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวของพระองค์เอง ทั้งปมปริศนาเรื่องพระบิดาที่แท้จริง และพระมารดาที่ละตัณหาไม่ได้ แอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นอยู่เป็นประจำ จึงพระราชทานแผ่นป้ายจารึกซึ่งบันทึกคุณงามความดีเรื่องการรักนวลสงวนตัวของสตรีในที่ต่างๆ นับเป็นการริเริ่มการสร้างคติธรรมอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ผู้หญิงยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

– สมัยราชวงศ์ฮั่น ยุคสามก๊ก ราชวงศ์สุย และราชวงศ์ถัง

—–ในยุคนี้ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องพรหมจรรย์มาก แม้จะมีบันทึกชีวประวัติหญิงพรหมจรรย์ 《列女傳》 [2] ออกมา แต่ผู้หญิงยังแต่งงานใหม่ได้ ดังตัวอย่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงต่อไปนี้ สมัยราชวงศ์ฮั่น (漢 202 ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 220) ฮองเฮาของจักรพรรดิฮั่นจิ่งตี้ (漢景帝 188-141 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เคยเป็นแม่หม้ายมาก่อน ภรรยาของมหาอำมาตย์เฉินผิง (陳平 ไม่แน่ชัด-178 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ก็เป็นแม่หม้ายเช่นกัน ทั้งยังผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 5 ครั้ง บุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคสามก๊ก (三國 ค.ศ. 220-280) ล้วนมีภรรยาที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโจผี (曹丕 ค.ศ. 187-226) เล่าปี่ (劉備 ค.ศ. 161-223) และซุนกวน (孫權 ค.ศ. 182-252) สมัยราชวงศ์สุย (隋 ค.ศ. 581-619) องค์หญิงหลานหลิง (蘭陵公主 ค.ศ. 573-604) ก็แต่งงานใหม่เช่นกัน สมัยราชวงศ์ถัง (唐ค.ศ.618-907) ก่อนบูเช็คเทียน (武則天 ค.ศ. 624-705) จะมาเป็นฮองเฮาของจักรพรรดิถังเกาจง (唐高宗 ค.ศ. 628-683) ก็เคยเป็นพระชายาของพระราชบิดาของจักรพรรดิถังเกาจง คือจักรพรรดิถังไท่จง (唐太宗 ค.ศ. 598-649) มาก่อน จากตัวอย่างที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าหญิงที่แต่งงานใหม่ในยุคนี้ไม่ได้เป็นที่ครหาของสังคม บางคนได้รับการยอมรับและยกย่องจนเป็นถึงฮองเฮาก็มี

สมัยราชวงศ์ซ่ง

—–เกิดแนวคิดหลี่เสวีย (理學 หรือแนวคิดขงจื๊อใหม่) มีนักปรัชญาชื่อเฉิงอี๋ (程頤 ค.ศ. 1033-1107) ทำให้สถานะของผู้หญิงจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง (宋 ค.ศ. 960-1279) เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือเดิมทีเคยมีอิสระพูดคุยกับผู้ชายหรือแต่งงานใหม่ได้ แต่กลับต้องเก็บตัวอยู่ในห้อง เพื่อไม่ให้มีโอกาสพบผู้ชาย เนื่องจากมีคนถามเฉิงอี๋ว่า “การแต่งงานใหม่เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมเนียมหรือไม่” เฉิงอี๋ตอบว่า “ไม่เคยปรากฏว่ามีสามีภรรยาคู่ใดที่ต้องการให้อีกฝ่ายจากไปก่อนวัยอันควร มีแต่ต้องการให้อยู่เคียงคู่กันจนตายไปพร้อมกัน ส่วนขุนนางระดับสูงตั้งแต่ต้าฟู (大夫) ขึ้นไปก็มีสนมนางในอยู่แล้ว หากภรรยามีอันเป็นไปก็มีสนมนางในเหล่านี้คอยดูแลรับใช้ เว้นแต่ขุนนางระดับล่างที่ต้องมีภรรยามาคอยดูแลบ้าน จึงค่อยคิดแต่งงานใหม่” เมื่อมีผู้ถามต่อว่า “หากหญิงหม้ายสามีตายไม่อาจเลี้ยงดูลูกหรือยังชีพต่อไปจะแต่งงานใหม่ได้หรือไม่” เฉิงอี๋ตอบว่า “อดตายเป็นเรื่องเล็ก แต่การสูญเสียพรหมจรรย์เป็นเรื่องใหญ่” (饿死事小,失节事大)

เฉิงอี๋

—–ชนชั้นปกครองก็เห็นดีเห็นงามด้วย จึงส่งเสริมให้ยึดถือปฏิบัติตาม ทำให้ทัศนคติเรื่องพรหมจรรย์เริ่มมีผลเชิงลบต่อการดำเนินชีวิตของผู้หญิงตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งใต้ (南宋 ค.ศ. 1127-1279) เป็นต้นมา

สมัยราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง

—–สมัยราชวงศ์หมิงเน้นให้ผู้หญิงสังเวยพรหมจรรย์ ส่วนสมัยราชวงศ์ชิง (清 ค.ศ.1616-1911) เน้นให้ผู้หญิงครองตัวเป็นหม้ายเพื่อรักษาพรหมจรรย์ ในสมัยจักรพรรดิยงเจิ้ง (雍正帝 ค.ศ. 1678-1735) ทางการประกาศว่าการฆ่าตัวตายไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม การมีชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่เป็นคนดีของสังคมเป็นสิ่งที่ควรทำ

สนมนางในสมัยราชวงศ์ชิง

รางวัลสำหรับหญิงพรหมจรรย์ จากคติธรรมสู่วัตถุทางศิลปกรรม

—–ผู้หญิงคนใดครองพรหมจรรย์ได้ตามระยะเวลาที่ทางการกำหนด จะได้รับพระราชทานซุ้มประกาศเกียรติคุณพรหมจรรย์จากพระจักรพรรดิ เงินรางวัล และสิทธิพิเศษอื่นๆ เช่น สมาชิกในครอบครัวไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร ฯลฯ ซุ้มประกาศเกียรติคุณซื่อสัตย์ภัคดี (貞孝節烈牌坊 เรียกย่อๆ ว่า貞節牌坊) คือ ซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่จักรพรรดิพระราชทานให้ขุนนางผู้จงรักภัคดี หรือสาวพรหมจรรย์ เพื่อเป็นเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูล ปัจจุบันเป็นโบราณสถานที่กระจายตัวอยู่ตามชนบทหลายพื้นที่ เช่น มณฑลเฮยหลงเจียง (黑龍江) มณฑลกวางตุ้ง (廣東) มณฑลเจียงซู (江蘇) เทศบาลนครฉงชิ่ง (重慶) มณฑลหูหนาน (湖南) ไต้หวัน (臺湾) ฯลฯ

—–ซุ้มประกาศเกียรติคุณซื่อสัตย์ภัคดีที่สำคัญคือ ซุ้มประกาศเกียรติคุณนางหลิน (林氏貞孝坊) เป็นซุ้มประกาศเกียรติคุณสมัยราชวงศ์ชิง ตั้งอยู่เขตต้าเจี่ย (大甲) เมืองไถจง (臺中) ตอนกลางของไต้หวัน ซุ้มนี้สร้างขึ้นเพื่อยกย่องสาวพรหมจรรย์นามว่าหลินชุนเหนียง (林春娘) เมื่อปี ค.ศ. 1848 สมัยจักรพรรดิเต้ากวง (道光帝 ค.ศ. 1782-1850)

—–หลินชุนเหนียงเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1779 ในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆帝 ค.ศ. 1711-1799) เมื่ออายุ 7 ปี บ้านตระกูลอวี๋รับตัวเธอมาเลี้ยงไว้เพื่อเตรียมแต่งงานเป็นภรรยากับอวี๋หรงจ่าง (余榮長) ลูกชายของบ้าน แต่ยังไม่ทันได้แต่งงาน อวี๋หรงจ่างก็จมน้ำตายที่เมืองลู่ก่าง (鹿港) เมื่อปี ค.ศ. 1789 ซึ่งหลินชุนเหนียงอายุเพียง 10 ปี ขณะนั้นบิดาของอวี๋หลงจ่างเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลินชุนเหนียงไม่คิดแต่งงานกับคนอื่น ยังคงอยู่ที่บ้านตระกูลอวี๋ ดูแลปรนนิบัติแม่สามี พร้อมทั้งรับเด็กมาเลี้ยงเป็นทายาทสืบตระกูล

ซุ้มประกาศเกียรติคุณนางหลิน

—–ค.ศ. 1836 ราชสำนักอนุมัติให้ตระกูลอวี๋สร้างซุ้มประกาศเกียรติคุณ ทว่าขณะนั้นตระกูลอวี๋มีฐานะยากจน แม้จะถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของวงศ์ตระกูล แต่ก็ไม่อาจสร้างได้ด้วยทรัพย์สมบัติที่มี เมื่อถึงปี ค.ศ. 1848 ขุนนางท้องถิ่นจึงเรี่ยไรเงินจากชาวบ้านจนสร้างซุ้มประกาศเกียรติคุณให้กับหลินชุนเหนียงได้สำเร็จ หลินชุนเหนียงเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1864 สมัยจักรพรรดิถงจื้อ (同治帝ค.ศ. 1856-1875) อายุรวม 85 ปี ภายหลังซุ้มนี้ได้รับการยกย่องเป็นโบราณสถานระดับ 3 ของไถจง เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1985

 

บทลงโทษเมื่อละเมิดพรหมจรรย์

  1. บทลงโทษตามกฎหมาย กฎหมายสมัยราชวงศ์ชิงระบุว่าหญิงหม้ายที่ละเมิดพรหมจรรย์ด้วยการแต่งงานใหม่ จะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ เพื่อไม่ให้ตำแหน่งดังกล่าวเสื่อมเสีย ส่วนผู้หญิงที่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งแล้วก็ต้องครองตัวอยู่ในพรหมจรรย์ ข้อกำหนดเหล่านี้จำกัดเฉพาะครอบครัวขุนนางไม่ครอบคลุมถึงสามัญชน
  2. บทลงโทษทางสังคม ไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอน ขึ้นกับระดับความเคร่งครัดที่ต่างกันของแต่ละสังคม ซึ่งถือว่ารุนแรงกว่าข้อแรก เนื่องจากบางครอบครัวยอมรับแต่บางครอบครัวก็ไม่ยอมรับ จากบันทึกประจำตระกูลของหลายๆ ตระกูลจะเห็นว่า หญิงหม้ายที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลแม้จะมีสถานะเป็นเมียหลวง แต่ในบันทึกกลับเป็นได้แค่เมียรอง

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการครองพรหมจรรย์

—–ผู้หญิงที่ครองพรหมจรรย์อาจเกิดปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาปากท้อง ปัญหามรดก ฯลฯ หญิงหม้ายบางคนรู้สึกว้าเหว่ เพราะเคยมีคู่มาก่อน เคยมีที่ปรึกษา แต่เมื่อสามีเสียชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร ความว้าเหว่นี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจบางคนถึงกับเสียสติ

—–ในด้านอารมณ์ทางเพศ ผู้หญิงบางคนทำตัวเหมือนว่าครองพรหมจรรย์ แต่ลับหลังแอบไปมีความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวสามี เมื่อมีลูกก็ต้องยกลูกให้คนที่บ้านสามีไปเลี้ยงดู เพราะตนเองไม่อาจเลี้ยงดูได้ เนื่องด้วยต้องทำตัวเป็นหญิงพรหมจรรย์เพื่อการยอมรับของสังคมและอาจได้รับซุ้มประกาศเกียรติคุณ เงินรางวัล รวมทั้งสิทธิต่างๆ

—–นอกจากนี้ยังมีปัญหาต่อสังคม ทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานเพราะที่บ้านมีสมาชิกน้อย มักเกิดในครอบครัวที่ทำเกษตรกรรม เมื่อแรงงานน้อยก็ได้ผลผลิตไม่เต็มที่ ปัญหาเพศของประชากรขาดสมดุล สมัยนั้นมีการฆ่าทารกหญิง ผนวกกับการที่ผู้ชายมีเมียน้อย ทำให้ขาดแคลนเพศหญิง

—–การครองพรหมจรรย์ถูกชนชั้นปกครองของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมาใช้จำกัดสิทธิและขอบเขตความประพฤติของผู้หญิงไม่ต่างจาก ‘กรงเกียรติยศ’ ที่คุมขังจนผู้หญิงขาดอิสรภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ชิง ตั้งแต่ยุคที่ซุนยัตเซ็นปฏิวัติ แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะสังคมยุคใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพ และมีสถานภาพเท่าเทียมกับผู้ชาย การถือครองพรหมจรรย์จึงค่อยๆ เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลง

———————————————

* ข้อมูลบางส่วนจากการบรรยายเรื่อง ‘พรหมจรรย์ กรงเกียรติยศสตรี’ โดย อ. นัยน์พัศ ประเสริฐเมฆากุล

[1] แตกต่างจากคำว่า 处女 ซึ่งหมายถึง สาวบริสุทธิ์ (ยังไม่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์)

[2] เรียบเรียงโดยหลิวเซี่ยง (刘向 77-6 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีชีวิตอยู่ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก

เรื่องโดย หนุ่มพรหมจรรย์