—–พิพิธภัณฑ์มณฑลหูเป่ย (湖北省博物館) เป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุล้ำค่าของจีนจำนวนมาก ในบรรดาวัตถุเหล่านี้ มีกระบี่เล่มหนึ่งที่ชื่อเสียงระบือไปทั่วแผ่นดินจีน กระบี่ล้ำค่าถูกฝังพร้อมกับศพปริศนาที่สุสานในเขตมณฑลหูเป่ย (湖北) เหตุใดกระบี่ถึงยังคมกริบและไร้สนิมทั้งที่มีอายุมากกว่าสองพันปี เจ้าของกระบี่เล่มนี้คือใคร เป็นคนเดียวกับเจ้าของสุสานหรือไม่

 

กระบี่โบราณอายุ 2 พันปี

—–ในทศวรรษ 1960 พื้นที่อำเภอเจียงหลิง (江陵) ในมณฑลหูเป่ยเกิดภัยแล้งติดต่อกัน 2 ปี ทางการจึงสั่งให้ขุดร่องน้ำจากแม่น้ำจางเหอ (漳河) ที่อยู่ในเมืองจิงเหมิน (荊門) เพื่อดึงน้ำบางส่วนไปใช้ในการเกษตร งานขุดร่องน้ำดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงปลาย ค.ศ 1965 ทว่าเมื่อขุดถึงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจี้หนาน (紀南城) ก็พบว่าดินบริเวณนี้ไม่แน่นเหมือนจุดอื่น

—–อำเภอเจียงหลิงตั้งอยู่ตอนกลางของแม่น้ำแยงซีเกียง (長江) เป็นพื้นที่สงครามมาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเชื่อว่าในสมัยชุนชิวจ้านกั๋ว (春秋戰國 770-221 ปีก่อนคริสต์ศักราช) บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของเมืองอิ่งเฉิง (郢城) เมืองหลวงของรัฐฉู่ (楚國) จึงมีสุสานและโบราณวัตถุที่สภาพสมบูรณ์หลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก

สุสานรัฐฉู่ ว่างซานเฉียว

—–เหล่านักโบราณคดีมารวมตัวกันที่อำเภอเจียงหลิงและตั้งคณะทำงานขนาดเล็กขึ้น จนทราบว่ามีสุสานโบราณถูกฝังอยู่ใต้ดิน ภารกิจขุดร่องน้ำจึงกลายเป็นการขุดค้นทางโบราณคดี นักโบราณคดีเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า ‘สุสานรัฐฉู่ ว่างซานเฉียว’ (望山橋楚墓) สุสานแห่งนี้มีขนาดใหญ่ พบโบราณวัตถุที่ถูกฝังพร้อมกับศพมากถึง 400 ชิ้น ทั้งเครื่องสำริด เครื่องใช้ไม้ไผ่ อัญมณี ฯลฯ เมื่อวิเคราะห์จากข้าวของเครื่องใช้จึงคาดคะเนว่าผู้ที่ถูกฝังในสุสานแห่งนี้คงเป็นชนชั้นสูงของรัฐฉู่ก่อนยุคฉู่หวยอ๋อง (楚懷王 ประมาณ 355-296 ปีก่อนคริสต์ศักราช)

—–พลบค่ำวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1965 คนงานเปิดโลงศพในสุสานหลัก พบว่าด้านซ้ายของโครงกระดูกมีกระบี่สำริดสวมปลอกไม้วางอยู่ เมื่อชักกระบี่ออกผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึง กระบี่ล้ำค่าที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินนานกว่าสองพันปีแทบไม่มีคราบสนิม แถมยังเงาวับ ตัวกระบี่สีเหลืองทองมีความยาว 55.7 ซ.ม. กว้าง 4.6 ซ.ม. มีลวดลายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน สลักตัวอักษร 8 ตัว ด้านล่างของโกร่งกระบี่ฝังอัญมณีสีน้ำเงิน ด้านหลังฝังแร่เทอร์คอยส์สีน้ำเงิน

 

อักษรปริศนา 8 ตัว

—–ตัวกระบี่มีอักษรแกะสลัก 2 แถว แถวละ 4 ตัว คาดกันว่าตัวอักษรเคยฝังทองคำแต่ได้หลุดลอกออกไป อักษรโบราณที่อ่านยากนี้เรียกว่า ‘เหนี่ยวฉงซู’ (鳥蟲書) เป็นอักษรที่พัฒนามาจากอักษรจ้วนซู (篆書) ขณะที่เพิ่งค้นพบกระบี่นั้น นักโบราณคดียังไม่ทราบว่าเจ้าของกระบี่เล่มนี้คือใคร ทุกคนร่วมกันวิเคราะห์ตัวอักษรจนพบว่าอักษร 6 ใน 8 ตัวเคยปรากฏบนอาวุธที่ขุดค้นพบ ได้แก่ ‘เยว่หวาง’ (钺王 / อักษรปัจจุบันคือ 越王 หมายถึง กษัตริย์เยว่) ‘จื้อจ้า’ (自乍 / อักษรปัจจุบันคือ 自作 อ่านว่าจื้อจั้ว หมายถึง สร้างเอง) ‘ย่งเจี้ยน’ (用鐱 / อักษรปัจจุบันคือ 用劍 หมายถึง กระบี่ที่ใช้) ส่วนอักษรอีก 2 ตัวคาดว่าเป็นพระนามของกษัตริย์รัฐเยว่ (越國) องค์ใดองค์หนึ่ง

ตัวอักษรบนกระบี่

 

—–ช่วงเวลานั้น การค้นพบกระบี่เล่มนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นดินจีน จนผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ จำนวนมากเดินทางมาร่วมไขปริศนาตัวอักษรที่เหลือ หนึ่งในนั้นคือถังหลาน (唐蘭 ค.ศ. 1901-1979) ผู้เชี่ยวชาญด้านตัวอักษรโบราณ เดือนมกราคม ค.ศ. 1966 ถังหลานศึกษาค้นคว้าจนสรุปว่าอักษรสองตัวที่เหลือน่าจะเป็น ‘จิวเฉี่ยน’ (鳩淺) ซึ่งเป็นพระนามจริงของโกวเจี้ยน (勾踐) กษัตริย์เรืองนามแห่งรัฐเยว่ นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายเห็นพ้องกับข้อสันนิษฐานนี้ จึงสรุปว่าเจ้าของกระบี่คือโกวเจี้ยน และเรียกกระบี่เล่มนี้ว่า ‘กระบี่โกวเจี้ยนกษัตริย์รัฐเยว่’ (越王勾踐劍) แต่จากหลักฐานที่พบในสุสานทำให้ทราบว่าศพในสุสานชื่อเซ่ากู้ (邵固)

ภาพวาดโกวเจี้ยน

 

กระบี่กษัตริย์รัฐเยว่อยู่ในดินแดนรัฐฉู่

—–ประเด็นหลักที่ผู้คนตั้งข้อสงสัยคือ เหตุใดกระบี่ของกษัตริย์รัฐเยว่ที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง จึงมาโผล่ที่สุสานในดินแดนรัฐฉู่ซึ่งอยู่ตอนกลางของแผ่นดินจีน เหตุใดกระบี่จึงถูกฝังพร้อมกับศพของเซ่ากู้

—–ในสมัยชุนชิว รัฐอู๋ (吳國) และรัฐเยว่ต่างเป็นรัฐเล็กที่อ่อนแอ ต้องเป็นพันธมิตรและสวามิภักดิ์ต่อรัฐที่แข็งแกร่งเพื่อให้มีความมั่นคงและสามารถพัฒนาประเทศไปได้ ขณะนั้นรัฐอู๋และรัฐจิ้น (晉國) เป็นพันธมิตรต่อสู้กับรัฐฉู่ ขณะเดียวกันรัฐฉู่ใช้ประโยชน์จากการที่รัฐเยว่เกรงกลัวรัฐอู๋ ดึงรัฐเยว่มาเป็นพันธมิตร

—–ผู้เชี่ยวชาญมองว่า สาเหตุสำคัญที่กระบี่ล้ำค่าของรัฐอู๋และรัฐเยว่มาปรากฏในพื้นที่รัฐอื่นๆ นั้น เนื่องจากความเป็นพันธมิตรของรัฐอู๋กับรัฐจิ้น และรัฐฉู่กับรัฐเยว่ กระบี่ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นของกำนัลที่สองรัฐพันธมิตรมอบให้แก่กัน และบางส่วนเป็นกระบี่ที่ใช้ในสงคราม

—–ถ้าอย่างนั้น กระบี่โกวเจี้ยนที่สุสานรัฐฉู่ ว่างซานเฉียวเป็นของกำนัลหรืออาวุธในศึกสงคราม คำตอบคือเป็นไปได้ทั้งสองทาง ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญเสียงแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเซ่ากู้เป็นคนเดียวกันกับเซ่าหัว (邵滑) ชนชั้นสูงในสมัยฉู่หวยอ๋อง และเป็นนักการทูตมากฝีมือของรัฐฉู่ มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า เซ่าหัวเคยถูกส่งตัวไปที่รัฐเยว่ เขายุแหย่จนรัฐเยว่เกิดความวุ่นวาย ก่อนที่ฉู่หวยอ๋องจะถือโอกาสทำลายรัฐเยว่จนล่มสลาย จึงเป็นไปได้ที่ฉู่หวยอ๋องจะพระราชทานกระบี่โกวเจี้ยนที่ได้มาจากรัฐเยว่ให้แก่เซ่าหัวเพื่อตอบแทนคุณงามความดี

—–ผู้เชี่ยวชาญอีกฝ่ายเห็นว่า เซ่ากู้ไม่ได้เป็นคนเดียวกันกับเซ่าหัวที่มีชื่อในบันทึกประวัติศาสตร์ เซ่ากู้หาใช่ชนชั้นสูงไม่ แต่เขาเป็นเหลนของฉู่หวยอ๋อง หนังสือไม้ไผ่ที่พบในสุสานบันทึกว่าเขามัก ‘เข้าออกรับใช้อ๋อง’ (出入侍王) ซึ่งแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างเซ่ากู้กับอ๋องรัฐฉู่ บันทึกประวัติศาสตร์และหนังสือไม้ไผ่ที่ขุดค้นพบทำให้ทราบว่า รัฐเยว่และรัฐฉู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันตั้งแต่ยุคกษัตริย์อวิ่นฉาง (允常 ไม่แน่ชัด – 497 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แล้ว ฉู่จาวอ๋อง (楚昭王 515-489 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ยังเคยสู่ขอพระธิดาของโกวเจี้ยนมาเป็นสนม ด้วยเหตุนี้กระบี่โกวเจี้ยนอันล้ำค่าน่าจะเป็นสมบัติที่พระธิดาของโกวเจี้ยนพกติดตัวไปรัฐฉู่ด้วยตอนแต่งงาน อีกสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะเซ่ากู้เสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย กษัตริย์รัฐฉู่เสียพระทัยมาก จึงมอบกระบี่ล้ำค่าให้ฝังพร้อมกับศพ เพื่อตอบแทนความจงรักภักดีของเซ่ากู้

         

คมกริบไร้สนิม

—–ในช่วงก่อนทศวรรษ 1970 วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่ากับปัจจุบัน ยังไม่สามารถเก็บตัวอย่างจากตัวกระบี่ไปตรวจสอบได้ เมื่อ ค.ศ. 1977 ทางการถ่ายทำสารคดีเรื่อง ‘กระบี่โบราณ’ 《古劍》 เพื่อต้อนรับงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติประจำปี 1978 ซึ่งแสดงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคโบราณของจีน ขณะถ่ายทำมีการทดสอบใช้กระบี่ฟันกระดาษที่วางซ้อนกัน แค่ฟันเพียงครั้งเดียวกระดาษก็ขาดกว่า 20 แผ่น แสดงถึงความคมของกระบี่

ปลายกระบี่

—–คนสมัยนั้นหล่อกระบี่อย่างไรและเหตุใดจึงป้องกันสนิมได้ เฉินพีเสี่ยน (陳丕顯) เลขานุการมณฑลหูเป่ยเคยอนุมัติให้ทีมงานถ่ายสารคดีส่งกระบี่โกวเจี้ยนไปตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฟู่ตั้นเพื่อไขข้อสงสัยดังกล่าว หลังการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เราจึงทราบว่ากระบี่โกวเจี้ยนประกอบด้วยโลหะหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นทองแดงและดีบุก ผสมด้วยอะลูมิเนียม เหล็ก นิกเกิล และกำมะถันปริมาณเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีการชุบโครเมี่ยมอีกชั้น สิ่งสำคัญคือแม้ว่าจะเป็นกระบี่เล่มเดียวกัน ทว่าแต่ละส่วนของกระบี่มีปริมาณโลหะชนิดต่างๆ ไม่เท่ากัน บริเวณสันกระบี่มีทองแดงมาก ทำให้ตัวกระบี่แข็งแรงไม่หักง่าย คมกระบี่มีดีบุกมาก ทำให้กระบี่คมกว่ากระบี่ทั่วไป กระบี่เล่มนี้ผ่านการหล่อมากกว่า 1 ครั้งจึงหลอมโลหะหลายชนิดเข้าด้วยกันได้ แสดงว่าคนจีนเมื่อกว่าสองพันปีก่อนเข้าใจเทคนิคการหล่อที่ซับซ้อนแล้ว สันกระบี่มีปริมาณทองแดงมากจึงมีสีเหลือง ส่วนคมกระบี่มีดีบุกมากจึงมีสีขาว หากกระบี่สะท้อนกับแสง ตัวสันกระบี่และคมกระบี่มีสีต่างกัน เป็นที่มาของฉายา ‘กระบี่สองสี’ (兩色劍)

—–ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดกระบี่โกวเจี้ยนที่มีอายุกว่าสองพันปีจึงไม่เป็นสนิม เคยมีผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสตั้งสมมติฐานว่า เครื่องสำริดของจีนสมัยโบราณใช้เทคนิคการชุบที่คนในยุคปัจจุบันยังไม่เข้าใจ เช่น การใช้กำมะถันชุบทำให้โลหะแข็งกว่าปกติและไม่เป็นสนิม

—–ส่วนโฮ่วเต๋อจวิ้น (後德俊) นักวิจัยของพิพิธภัณฑ์หูเป่ย เชื่อว่าสาเหตุหลักคงเนื่องมาจากความสมบูรณ์ของสุสานที่ฝังอยู่ใต้ดินในสภาวะปิด ส่วนประกอบหลักของเครื่องสำริดคือทองแดง เมื่ออยู่ในสภาวะปิดอย่างสุสานใต้ดินจึงเกิดสนิมยาก กระบี่โกวเจี้ยนอยู่ในปลอกกระบี่ไม้ที่เคลือบจนเงา วางอยู่ในโลงศพที่ฝังดินลึก โถงสุสานยังโบกด้วยดินขาวไป๋เกาหนี (白膏泥) ที่เป็นดินบริสุทธิ์ ทำให้ตัวกระบี่เหมือนถูกตัดขาดจากสภาพแวดล้อมภายนอก หากสุสานไม่ได้อยู่ในสภาวะปิดอย่างสมบูรณ์ โบราณวัตถุก็จะเกิดความเสียหาย เช่นหอกฟูไช (夫差矛) ของอ๋องรัฐเยว่ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับโกวเจี้ยน ด้ามหอกที่ค้นพบผุพังเสื่อมสภาพ ส่วนหัวสำริดเกราะกรังด้วยสนิมสีเขียวเป็นชั้นๆ จึงเชื่อกันว่าสาเหตุที่กระบี่โกวเจี้ยนแทบไม่เป็นสนิมเนื่องจากสุสานถูกปิดตายและฝังอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคพิเศษในการผลิต

 

จัดนิทรรศการที่ต่างประเทศ

—–ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1973 โจวเอินไหล (周恩來 ค.ศ. 1898-1976) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น อนุมัติเป็นกรณีพิเศษให้นำกระบี่โกวเจี้ยนไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศจีนกับญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นจำนวนมหาศาลพากันมาเยี่ยมชมนิทรรศการครั้งนั้น ต่อมาเดือนธันวาคม ค.ศ 1984 กระบี่โกวเจี้ยนถูกนำไปจัดแสดงที่ฮ่องกงร่วมกับหอกฟูไช เพื่อฉลองการส่งคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีน ปีนั้นจีนและอังกฤษออกแถลงการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับอนาคตของฮ่องกง

—–กระบี่โกวเจี้ยนเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งที่ 3 เมื่อ ค.ศ. 1993 เพื่อนำไปจัดแสดงที่ประเทศสิงคโปร์ ในนิทรรศการโบราณวัตถุรัฐฉู่สมัยจ้านกั๋ว แต่ขณะเคลื่อนย้ายเพื่อจัดแสดงนั้น เจ้าหน้าที่ทำกระบี่ติดกับแท่นกระจกอะคริลิก เมื่อดึงออกพบว่ากระบี่มีรอยแยกราว 7 มิลลิเมตร กว้าง 1 มิลลิเมตร ความเสียหายของกระบี่โกวเจี้ยนทำให้เกิดการตื่นตัวภายในวงการโบราณคดี ซึ่งแม้จะเสียหายเล็กน้อยแต่ถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ หลังจากนั้นรัฐบาลจีนก็ไม่เคยอนุมัติให้นำกระบี่โกวเจี้ยนไปจัดแสดงที่ต่างประเทศอีกเลย

—–กระบี่โกวเจี้ยนช่วยปะติดปะต่อและบอกเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เลือนหาย รวมทั้งเผยให้เห็นถึงเทคนิคชั้นสูงของช่างฝีมือยุคโบราณ ปริศนาบางอย่างถูกคลี่คลายด้วยการวิเคราะห์จากหลักฐานและความเป็นไปได้ แต่มีปริศนาอีกหลายอย่างที่ยังคงลี้ลับ แม้แต่นักโบราณคดีก็ไม่อาจให้ความกระจ่างได้ และอาจเป็นปริศนาไปตลอดกาล

 

เรื่องโดย คมกริบ