ประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรมจีน
บทความสาระความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน
ครรลองชีวิตและความคิดเชิงปรัชญาของ “หลิ่มไต่คิม”
หลิ่มไต่คิม (林大欽 หลินต้าชิน ค.ศ. 1511–1545) มีภูมิลำเนาอยู่ที่ถิ่นแต้จิ๋ว[1] ดินแดนแห่งนี้เพียบพร้อมด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย ธรรมชาติและประเพณีที่ดีงาม รวมถึงวิถีชีวิตซึ่งสอดแทรกด้วยแนวคิดปรัชญาสามสำนัก (三教) ได้แก่ สำนักหรู (儒家) สำนักเต๋า (道家) และพระพุทธศาสนา (釋家/佛教)
“หนานซาน” พุทธสถานแดนทักษิณของจีน
“หนานซาน” (南山) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธมามกะ คือเขตภูเขาที่อยู่ใต้สุดของแผ่นดินจีน เล่าขานกันว่าเป็นดินแดนสิริมงคล บ้างก็อ้างคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่บันทึกไว้ว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม (觀音菩薩) เคยตรัสคำปรารถนา 12 ประการ หนึ่งในนั้นคือ “ประทับ ณ ทะเลใต้” (長居南海願)
ป้ายบรรพบุรุษ: เครื่องผูกพันใจของทายาทผู้วายชนม์
ความกตัญญู (孝) ถือเป็นยอดคุณธรรมตามคติลัทธิหรู (儒家) ของขงจื่อ (孔子 551–479 ปีก่อนค.ศ.) ที่ฝังใจผู้คนในสังคมจีน ชาวจีนจึงดูแลปรนนิบัติบุพการียามท่านยังมีลมหายใจ และเซ่นไหว้ยามท่านลาโลกแล้ว ดุจท่านยังไม่จากไปไหน (祭如在) เฉกเช่นการปรนบัติเมื่อครั้งท่านมีชีวิตอยู่ (事死如事生)
เรียนจีนจากเพลง: 《一壶老酒》สุราเก่าหนึ่งกา” โดยลู่ซู่หมิง (陆树铭)
1 พ.ย. ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 2 ปีการเสียชีวิตของคุณ "ลู่ซู่หมิง" นักแสดงชื่อดังของจีน ผู้ฝากผลงานอันยอดเยี่ยมและประทับใจผู้ชมไว้มากมาย โดยเฉพาะบท "กวนอู" จากละครโทรทัศน์เรื่อง "สามก๊ก" ทางอาศรมสยามฯ จึงได้แปลบทเพลง 《一壶老酒》"สุราเก่าหนึ่งกา" ที่แต่งทำนอง คำร้อง รวมถึงขับร้องโดยคุณลู่ซู่หมิง เพื่อรำลึกถึงนักแสดงมากฝีมือท่านนี้
บันทึกรักปิ่นม่วง: นาฏกรรมแสนรันทดแต่งดงามตรึงใจ
"บันทึกรักปิ่นม่วง" เป็นบทงิ้วคุนฉี่ว์ที่แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง โดยนักเขียนบทละครชาวเมืองหลินชวน มณฑลเจียงซี นามทังเสี่ยนจู่ ดัดแปลงโครงเรื่องและเนื้อเรื่องจาก "ตำนานฮั่วเสี่ยวอี้ว์" ที่แต่งโดยเจี่ยงฝางและเป็นบทละครจ๋าจี้ว์ ซึ่งมีอยู่เดิมในสมัยราชวงศ์ถัง ตำนานทั้งสองเรื่องพรรณนาความรักของบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์อย่างหลี่อี้ กวีและขุนนางผู้ใหญ่ กับหญิงสาวนามฮั่วเสี่ยวอี้ว์
“เติ้งสุย” หงส์เหนือมังกรแห่งฮั่นตะวันออก
แม้ว่าในสังคมจีนโบราณจะมีสำนวนกล่าวว่า “ถ้าไก่ตัวเมียขันตอนย่ำรุ่ง บ้านเรือนจักมีเรื่องวุ่นวาย” (牝雞司晨,惟家之索) ซึ่งมีความหมายเชิงอุปมาว่า “ถ้าผู้หญิงขึ้นเป็นใหญ่ บ้านเมืองจักระส่ำระสาย” ทว่าในประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่ยุคบรรพกาลเป็นต้นมา ก็ปรากฏสตรีมากหน้าหลายตาที่กุมอำนาจ สร้างชาติบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นได้ไม่แพ้บุรุษ