—–ในยุคที่การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าอย่างทุกวันนี้ ประชาชนจำนวนมากต้องล้มตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่ด้วยความมุมานะศึกษาค้นคว้าอย่างยากลำบากของหมอสมุนไพรจีนนามว่าหลี่สือเจิน (李時珍 ค.ศ. 1518-1593) ในยุคราชวงศ์หมิง (明 ค.ศ. 1368-1644) ทำให้ประชาชนได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี และเกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ เรื่องสรรพคุณของสมุนไพรจีนขึ้นในโลก

—–หลี่สือเจินมีชื่อรองว่าตงปี้ (東璧) เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ.1518 ที่อำเภอฉีชุน (蘄春) มณฑลหูเป่ย (湖北) ปู่ของเขาเป็นหมอสมุนไพร ส่วนบิดานามว่าหลี่เหยียนเหวิน (李言聞) เป็นหมอที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ด้วยความที่เกิดในครอบครัวหมอ หลี่สือเจินจึงซึมซับและสนใจด้านการแพทย์ตั้งแต่ยังเด็ก

—–ฐานะของแพทย์ในสมัยนั้นไม่สู้ดีนัก ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก หลี่เหยียนเหวินผู้เป็นบิดาจึงไม่อยากให้หลี่สือเจินประกอบอาชีพเดียวกันตน แต่อยากให้รับราชการเป็นขุนนางมากกว่า เมื่อบุตรชายอายุ 13 ปี บิดาจึงส่งเสริมให้เข้าสอบเป็นซิ่วไฉ[1] จนสำเร็จ แต่ต่อมาเข้าสอบเป็นจวี่เหริน[2] ถึง 3 ครั้งแต่สอบไม่ผ่าน บิดาจึงล้มเลิกความตั้งใจ หลี่สือเจินหันมามุ่งมั่นเอาดีด้านการแพทย์ ด้วยการติดตามบิดาออกรักษาผู้ป่วยขณะอายุ 23 ปี เขาค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์จนเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ

—–เมื่ออายุ 38 ปี หลี่สือเจินรักษาบุตรชายของขุนนางผู้หนึ่งจนหายจากโรค จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์ประจำตำหนักอ๋อง ต่อมาปี ค.ศ. 1556 เขาได้รับการแนะนำให้ไปทำงานที่สถาบันหมอหลวง (太醫院) ที่นี่เองที่เขาสั่งสมประสบการณ์การทำงานจนรอบรู้เรื่องการรักษาผู้ป่วยและข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรชนิดต่างๆ รวมทั้งตัวยาที่นำเข้าจากต่างประเทศหลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังศึกษาตำราโบราณจากคลังข้อมูลของราชสำนัก เขามักจะศึกษาค้นคว้าโดยใช้วิธีเปรียบเทียบ วินิจฉัย รวมทั้งแยกแยะสรรพคุณและรูปลักษณ์ภายนอก ส่งผลให้ได้รู้จักตัวยาที่ไม่เคยรู้มาก่อน แล้วจดบันทึกรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลเอาไว้

—–ปี ค.ศ. 1558 หลี่สือเจินลาออกจากสถาบันหมอหลวงแล้วเดินทางกลับบ้านเกิด เขาก่อตั้งร้านยาโดยใช้ชื่อรองของตนเองว่าตงปี้ถาง (東璧堂) ระหว่างนี้ได้ดำเนินกิจการไปพร้อมๆ กับอ่านตำราโบราณจำนวนมาก ทำให้เขาพบว่าตำราสมุนไพรโบราณมีข้อมูลที่ผิดอยู่ไม่น้อย ผนวกกับการที่ไม่มีใครเขียนหนังสือสรุปหรือบันทึกการค้นพบสมุนไพรใหม่ๆ ในช่วงเวลากว่า 400 ปีตั้งแต่ยุคคัมภีร์สมุนไพรของเสินหนง《神農本草經》มาจนถึงยุคหลี่สือเจิน เขาตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงตัดสินใจเรียบเรียงตำราเภสัชวิทยาขึ้นมาใหม่ โดยตั้งชื่อว่า “เปิ๋นเฉ่ากังมู่” 《本草綱目》ใช้ตำราสมุนไพร “เจิ้งเล่ยเปิ๋นเฉ่า” 《證類本草》เป็นพื้นฐาน และเสริมข้อมูลจากการศึกษาตำราอีกกว่า 800 เล่มอย่างจริงจัง

ตำรา “เปิ๋นเฉ่ากังมู่”

—–เรื่องที่ยากที่สุดของการเขียนตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่คือความสับสนเรื่องสมุนไพร เพราะข้อมูลเรื่องสรรพคุณและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรยังไม่ชัดเจน แม้ว่าตำราเล่มเก่าๆ จะมีอธิบายไว้ แต่ผู้เขียนบางคนไม่ได้ลงไปศึกษาค้นคว้าสมุนไพรเหล่านั้นอย่างแท้จริง ทว่าใช้วิธีคัดลอกต่อๆ กันไปมา ส่งผลให้เนื้อหาเกิดความสับสน บางส่วนขัดแย้งกันเองจนไม่แน่ชัดว่าข้อมูลไหนถูกต้อง เขาจึงใช้วิธี “อ่านหนังสือหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้” (讀萬卷書,行萬里路) กล่าวคือศึกษาตำราโบราณไปพร้อมกับลงพื้นที่ศึกษาค้นคว้า หลี่สือเจินเดินทางขึ้นภูเขาหลายลูกทั้งภูเขาอู่ตังซาน (武當山) ภูเขาหลูซาน (廬山) ภูเขาเหมาซาน (茅山) และภูเขาหนิวโส่วซาน (牛首山) รวมทั้งเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งหูกว่าง (湖廣) อานฮุย (安徽) เหอหนาน (河南) เหอเป่ย (河北) เจียงซี (江西) และจื๋อลี่ (直隸) เพื่อเก็บสมุนไพรและค้นหาคำตอบที่ยังสงสัย

—–หลี่สือเจินยกเลิกการแบ่งยาตามความเชื่อในอดีตซึ่งใช้กันมากว่าพันปีดังที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์สมุนไพรของเสินหนง แล้วหันมาแบ่งยาออกเป็น 16 หมวด ได้แก่ น้ำ (水) ไฟหรือถ่าน (火) ดินหรือแร่ธาตุ (土) โลหะหรือหิน (金石) หญ้า (草) ธัญพืช (谷) ผัก (菜) ผล (果) ไม้ (木) ของใช้หรือผ้า (服器) แมลง (蟲) เกล็ดของสัตว์ (鱗) เปลือกหรือกระดองสัตว์ (介) สัตว์ปีก (禽) สัตว์สี่เท้า (獸) และน้ำนมหรือปัสสาวะของมนุษย์[3] (人) ซึ่งแยกย่อยได้อีก 60 ประเภท

ภาพสมุนไพรในตำรา “เปิ๋นเฉ่ากังมู่”

—–ตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่มีเนื้อหามหาศาล มีตัวอักษรราว 1.9 ล้านตัว มีข้อมูลยา 1,892 ชนิด แบ่งเป็นยาที่เขียนขึ้นมาใหม่ 1,518 ชนิด และยาจากการแก้ไขข้อมูลที่มีคนเคยเขียนแล้ว 374 ชนิด ในจำนวนนี้เป็นพืช 1,195 ชนิด นอกจากนี้ยังมีตำรับยาพื้นบ้านโดยแพทย์สมัยโบราณ 11,096 ขนาน เนื้อหาส่วนหน้าของตำรามีภาพประกอบ 1,100 ภาพ ผลงานอันยิ่งใหญ่ชิ้นนี้ได้รวบรวมข้อมูลชั้นยอดเกี่ยวกับสมุนไพรในแต่ละยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกัน รวมทั้งแก้ไขข้อมูลที่ผิดเป็นจำนวนมาก ถือเป็นตำราเภสัชวิทยาที่เป็นระบบมากที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด และมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดฉบับหนึ่งของโลก

—–หลังใช้ความพยายามและความอดทนนานถึง 27 ปี ในที่สุดหลี่สือเจินในวัย 61 ปีก็เขียนต้นฉบับตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่แล้วเสร็จ ทั้งนี้เขายังแก้ไขอีก 3 ครั้งเป็นเวลากว่า 10 ปี หลี่สือเจินเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1593 หลังจากเสียชีวิต 3 ปี ตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่ก็ได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1596 ที่เมืองจินหลิง (金陵)

—–ตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่ไม่เพียงแต่มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาด้านการแพทย์ของประเทศจีน แต่ยังแผ่อิทธิพลต่อการพัฒนาวิชาแขนงต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแพทยศาสตร์ พฤกษศาสตร์ สัตววิทยา ธรรมชาติวิทยา แร่วิทยา และวิชาเคมี นอกจากนี้ยังถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมาย เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย ภาษาละติน เป็นต้น

—–หลี่สือเจินมีกระบวนการคิดและวิธีการศึกษาค้นคว้าที่ค่อนข้างโดดเด่น ข้อมูลส่วนใหญ่เกิดจากการรวบรวมและศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ทั้งยังกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการแบบโบราณ

หลี่สือเจินมีวิธีการทำงานที่แบ่งได้เป็น 5 ข้อ ดังนี้

  1. การสังเกตและการทดลอง

—–การสังเกตและการทดลองถือเป็นวิธีพื้นฐานในการศึกษาสมุนไพร หลี่สือเจินจะเก็บสมุนไพรด้วยตนเอง และสำรวจลักษณะโดยละเอียดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง นอกจากนี้ยังสร้างวิธีการแยกประเภทอย่างเป็นระบบ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 16 หมวด ซึ่งค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์ จึงนับได้ว่าหลี่สือเจินบุกเบิกการแยกประเภทสมุนไพรให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

  1. การอธิบายข้อมูลอย่างละเอียด

—–หลี่สือเจินอธิบายสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างละเอียดเป็น 9 หัวข้อ ได้แก่ 1. ชื่อสมุนไพร 2. คำวิจารณ์หรือความคิดเห็น 3. วินิจฉัยข้อสงสัย 4. การแก้คำผิด 5. การสกัดตัวยา 6. กลิ่น 7. โรคที่ใช้รักษา 8. การศึกษาวิจัย 9. วิธีใช้ โดยสมุนไพรแต่ละชนิดอาจมีข้อมูลไม่ครบทุกหัวข้อก็ได้

  1. การวิเคราะห์และการศึกษาค้นคว้าด้วยการสำรวจ

—–การวิเคราะห์และการศึกษาค้นคว้าด้วยการสำรวจเป็นวิธีสำคัญของหลี่สือเจิน เขาศึกษาค้นคว้าตัวยาทุกชนิด โดยเริ่มจากตรวจสอบจุดเหมือนและจุดต่างของสมุนไพร นอกจากนี้ยังศึกษาค้นคว้าบนพื้นฐานของการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง

หลี่สือเจินเรียนรู้จากผู้อื่น

  1. การปฏิบัติจริงและเรียนรู้จากผู้อื่น

—–หลี่สือเจินลงมือปฏิบัติจริงและเรียนรู้จากผู้อื่น เขามักจะสอบถามจากชาวบ้านทั่วไปจนได้ความรู้ใหม่ เช่น ได้ทราบจากนายพรานว่ากระดูกเสือมีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง, ได้ทราบวิธีการป้องกันไม่ให้ได้รับสารพิษจากคนงานในเมืองแร่ นอกจากนี้ยังได้ความรู้จากผู้คนหลากหลายอาชีพทั้งคนดูแลป่า ชาวประมง เกษตรกร ช่างทำหนัง เป็นต้น

  1. การค้นคว้าและพิสูจน์

—–การค้นคว้าและพิสูจน์เป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่หลี่สือเจินใช้อย่างสม่ำเสมอ ตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่มีบันทึกว่าหลี่สือเจินได้ความรู้ด้านการแพทย์มาจากหลายพื้นที่ ทั้งชมพูทวีป ดินแดนแถบอาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งจากตำราภาษาสันสกฤตและคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา

รูปปั้นหลี่สือเจินบริเวณสุสาน

—–หลังจากสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีการสร้าง “สวนสุสานหลี่สือเจิน” ขึ้นที่เมืองฉีโจว (蘄州城) เพื่อรำลึกถึงผู้วางรากฐานด้านสมุนไพรจีนในอดีต ภายในประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก ได้แก่ สุสาน นิทรรศการชีวประวัติ แผ่นป้ายหินรายชื่อสมุนไพร ห้องแสดงยาสมุนไพร และสวนสมุนไพร

—–ปี ค.ศ. 1978 สำนักงานวัฒนธรรมแห่งมณฑลหูเป่ยได้ปรับปรุงสุสานหลี่สือเจิน พร้อมทั้งสร้างรูปปั้นที่มีความสูง 4.35 เมตร ด้านหลังรูปปั้นมีหลุมศพ 2 หลุม หลุมศพทิศตะวันออกเป็นที่ฝังศพของหลี่สือเจินและภรรยา ส่วนหลุมศพทิศตะวันตกเป็นที่ฝังศพของบิดาและมารดาของหลี่สือเจิน

—–แม้ว่าหลี่สือเจินจะเสียชีวิตไปกว่า 500 ปี แต่ผู้คนยังคงระลึกถึงคุณงามความดีที่เคยได้กระทำไว้ โดยเฉพาะการจัดระบบสมุนไพรจีนและการศึกษาสรรพคุณเพื่อรักษาโรคต่างๆ รวมทั้งความวิริยะอุตสาหะเป็นเวลาหลายสิบปีเพื่อเรียบเรียงความรู้ออกมาเป็นตำราเภสัชวิทยาเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่หวงวิชาความรู้ ซึ่งมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติตั้งแต่อดีตจนถึงอนาคต

เรื่องเล่าหลี่สือเจิน : เลือดไหลจากโลงศพ

—–วันหนึ่งหลี่สือเจินพบกับขบวนศพ แต่เขาสังเกตว่าเลือดยังไหลออกจากโลงศพตลอดเวลา จึงรีบเข้าไปขวางขบวนศพแล้วขอให้เปิดโลงศพ จากนั้นจึงลงมือนวดตามเนื้อตัวของศพแล้วฝังเข็มบริเวณหัวใจ ไม่นานก็มีเสียงกระแอมเบาๆ จากผู้หญิงที่นอนอยู่ในโลงศพ ผู้หญิงคนดังกล่าวฟื้นขึ้น มาหลังจากนั้นผู้หญิงคนนี้ยังให้กำเนิดบุตรอย่างราบรื่น อันที่จริงเธอแค่เกือบจะตายเพราะเกิดปัญหาตอนคลอดบุตร แต่ยังไม่ตาย

เรื่องเล่าหลี่สือเจิน 2 : ยาอายุวัฒนะ

—–ในอดีตผู้คนทั่วไปโดยเฉพาะจักรพรรดิยังมีความเชื่อเรื่องยาอายุวัฒนะ แต่หลี่สือเจินทราบดีว่ายาชนิดนี้เป็นพิษ เพราะปรุงขึ้นจากสารพิษ ไม่ว่าจะเป็นปรอท ตะกั่ว กำมะถัน ดีบุก ฯลฯ แต่ยังคงมีผู้คนเชื่อเนื่องจากตำรายาในสมัยโบราณระบุว่าปรอทเป็นยาชนิดหนึ่งที่ไม่มีพิษ กินแล้วจะได้เป็นเซียน หลี่สือเจินจึงคัดค้านโดยบอกว่ายาอายุวัฒนะไม่มีอยู่จริง คนที่กินเข้าไปมีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น ตำราสมัยก่อนอาจดูน่าเชื่อถือ แต่เราก็จำเป็นต้องวิเคราะห์และพิสูจน์เพื่อหาความจริงเช่นกัน

 

[1] ซิ่วไฉ (秀才) คือ ชื่อตำแหน่งเมื่อสอบผ่านเข้ารับราชการในระดับต่ำที่สุด

[2] จวี่เหริน (举人) คือ ชื่อตำแหน่งเมื่อสอบผ่านเข้ารับราชการในระดับกลาง

[3] ผู้คนในอดีตมีความเชื่อเรื่องยารักษาโรคที่ผสมผสาญกับเรื่องไสยศาสตร์ ยาบางประเภทจึงฟังดูแปลกสำหรับคนในปัจจุบัน เช่น นำไม้เท้า ผ้าแพร ผ้าไหม หรือเส้นผมมาเผาไฟแล้วต้มน้ำ กินรักษาโรค เป็นต้น

 

เรื่องโดย ประจิตร ป้อมอรินทร์