—–นวนิยายจีนเรื่อง ‘จินผิงเหมย’ (金瓶梅) หรือชื่อไทยว่า ‘บุปผาในกุณฑีทอง’ ได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 4 สุดยอดวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์หมิง[1] แต่งโดยผู้ใช้นามแฝงว่า ‘หลันหลิงเซี่ยวเซี่ยวเซิง’ (蘭陵笑笑生) ราวปลายสมัยราชวงศ์หมิง ส่วนชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของผู้แต่งยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ มีเพียงกระแสคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นบัณฑิตชาวซานตง (山東) เนื่องจากในเรื่องมีการใช้สำนวนโวหารและภาษาถิ่นของมณฑลซานตงเป็นจำนวนมาก
—–ชื่อของนวนิยายเรื่อง ‘จินผิงเหมย’ แปลความหมายได้ว่า ‘ดอกเหมยในแจกันทอง’ มีนัยสื่อถึงหญิงสาว (เปรียบกับดอกเหมย) อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แลดูงดงามอลังการ (เปรียบกับแจกันทอง) แต่เป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่งห้องเท่านั้น
—–เชื่อกันว่า ชื่อเรื่องนี้เกิดจากการเลือกอักษรจีน 3 ตัวจากชื่อตัวละครหญิง 3 คนมาประสมกันตามลำดับ อันได้แก่
1. ‘จิน’ (金) มาจากชื่อพันจินเหลียน (潘金蓮)
2. ‘ผิง’ (瓶) มาจากชื่อหลี่ผิงเอ๋อร์ (李瓶兒)
3. ‘เหมย’ (梅) มาจากชื่อผังชุนเหมย (龐春梅)
—–ซึ่งทั้ง 3 ล้วนเป็นภรรยาของตัวละครเอกคนเดียวในเรื่องนามว่าซีเหมินชิ่ง (西門慶) นอกจากนั้น ผู้แต่งเจตนาใช้อักษรจีนทั้ง 3 ตัวสะท้อนถึงมายาคติและความเชื่อของสังคมจีนอย่างลึกซึ้ง กล่าวคือ ‘จิน’ หมายถึง ทองคำ เป็นสัญลักษณ์แทนทรัพย์สินเงินทอง ‘ผิง’ หมายถึง ขวด, แจกัน เป็นสัญลักษณ์แทนสุราหรือความหรูหรา ‘เหมย’ หมายถึง ดอกเหมยที่ดูบอบบางแต่แข็งแกร่งทนทานต้านลมฝนและหิมะได้ มาเป็นสัญลักษณ์แทนอิสตรี
—–นวนิยายเรื่องจินผิงเหมยกล่าวถึงเรื่องราวชีวิตที่ลุ่มหลงมัวเมาของซีเหมินชิ่ง จากที่พยายามสร้างตัวจนเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่แล้วต้องมาปิดฉากชีวิตด้วยสภาพน่าเวทนา เขาเป็นชายรูปงามผู้เก่งกาจแต่มีนิสัยชั่วช้าเลวทราม มีภรรยาเต็มบ้านแต่ยังชอบคบชู้กับภรรยาของผู้อื่น ด้านหนึ่งเป็นเจ้าของร้านขายยาแต่ทำตัวเป็นนักเลงคอยกดขี่ข่มเหงผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยจนชาวบ้านเกรงกลัวไปทั่ว อีกด้านหนึ่งก็เก่งกาจในการใช้วาทศิลป์ช่างประจบประแจง ไม่ว่าจะเอาอกเอาใจผู้หญิง ประจบสอพลอขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หรือหลอกล่อคนที่เขามองว่ามีประโยชน์สำหรับตน ทั้งยังใช้วิชามารต่างๆ นานาเพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง ตั้งแต่การติดสินบนขุนนางผู้มีอำนาจและดึงผู้มีอิทธิพลมาเป็นพรรคพวกของตน การรับสินบนจากพวกที่วิ่งเต้นหาผลประโยชน์ ไปจนถึงหลอกล่อแม่ม่ายเศรษฐีนีมาแต่งงานกับตนเพื่อหวังสมบัติ ฯลฯ นอกจากนี้ เนื้อเรื่องทั้งหมดยังสอดแทรกเรื่องราวความรักและความแค้นที่เกิดขึ้นระหว่างภรรยาแต่ละคนกับซีเหมินชิ่ง และศึกสงครามระหว่างเหล่าภรรยาเพื่อแย่งชิงสามีคนเดียวกัน จนเกิดเรื่องวุ่นวายต่างๆ ขึ้น ชะตาชีวิตที่พลิกผันของซีเหมินชิ่งจึงสะท้อนคำพูดที่ว่า “ชีวิตที่ลุ่มหลงในกิเลสตัณหา ย่อมนำไปสู่ความหายนะ”
—–เนื้อเรื่องและตัวละครส่วนหนึ่งของจินผิงเหมยดัดแปลงมาจากวรรณคดีเรื่อง ‘ซ้องกั๋ง’ (水滸傳) ในช่วงที่วีรบุรุษอู่ซง (武松 บู๊สง) ฆ่าเสือด้วยมือเปล่า กล่าวคือ ในเรื่องซ้องกั๋งช่วงที่อู่ซงเป็นตัวเอกดำเนินเรื่องนั้น เมื่ออู่ซงฆ่าเสือตายแล้ว เขาได้พบกับอู่ต้า (武大) ผู้เป็นพี่ชาย และพันจินเหลียนผู้เป็นพี่สะใภ้โดยบังเอิญ หลังจากนั้นอู่ซงก็ไปทำธุระที่ต่างเมือง ทว่าเมื่อกลับมากลับพบว่าอู่ต้าถูกฆ่าตาย และสืบทราบภายหลังว่าอู่ต้าถูกพันจินเหลียนและชายชู้ชื่อซีเหมินชิ่งฆ่าตาย อู่ซงจึงฆ่าพันจินเหลียนและซีเหมินชิ่งเพื่อแก้แค้น แต่ในเรื่องจินผิงเหมย ซีเหมินชิ่งถูกสร้างเป็นตัวเอกของเรื่อง ส่วนที่ยังคงความเดิมคืออู่ซงฆ่าเสือตายแล้วไปทำธุระที่ต่างเมือง พอกลับมาก็พบว่าอู่ต้าถูกฆ่าตาย แต่ผู้แต่งดัดแปลงเนื้อเรื่องให้อู่ซงไม่สามารถฆ่าพันจินเหลียนและซีเหมินชิ่งได้ในทันที เพราะถูกซีเหมินชิ่งใช้อิทธิพลยัดเยียดความผิดเสียก่อนจนอู่ซงต้องถูกเนรเทศไปชายแดนหลายปี เมื่ออู่ซงกลับจากชายแดนและมาตามล้างแค้นแทนพี่ชายก็พบว่าซีเหมินชิ่งตายไปเสียแล้ว ส่วนพี่สะใภ้ก็ถูกแม่สื่อนำมาเร่ขายต่อ อู่ซงจึงไถ่ตัวพี่สะใภ้มาฆ่าทิ้งเพื่อแก้แค้นแทนพี่ชาย จึงกล่าวได้ว่า จุดสำคัญที่เรื่องจินผิงเหมยดัดแปลงมาจากเรื่องซ้องกั๋งคือ อู่ซงไม่สามารถฆ่าพันจินเหลียนและซีเหมินชิ่งเพื่อแก้แค้นได้ทันที จึงมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นตามมา
—–ข้อแตกต่างที่ชัดเจนอีกอย่างคือ เรื่องซ้องกั๋งเป็นวรรณคดีที่เขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งและสะท้อนเรื่องราวในสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่เรื่องจินผิงเหมยอ้างอิงจากวรรณคดีเรื่องซ้องกั๋งว่าเหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่แท้ที่จริงแล้ว จินผิงเหมยสะท้อนเรื่องราวในสมัยราชวงศ์หมิง จึงกล่าวได้ว่าจินผิงเหมยเป็นนวนิยายที่มีโครงเรื่องส่วนหนึ่งมาจากเรื่องซ้องกั๋ง แต่มีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวให้สอดคล้องกับสังคมสมัยปลายราชวงศ์หมิง
ซีเหมินชิ่งในร้านค้าของตนเอง
—–ตัวละครหลักของเรื่องจินผิงเหมยคือ ซีเหมินชิ่ง พ่อค้าผู้ฉลาดหลักแหลม แต่ชอบทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ใช้ความฉลาดในทางทุจริตฉ้อโกง ขณะเดียวกันยังมักมากในกาม อุปนิสัยที่ซีเหมินชิ่งแสดงออกมาอย่างเด่นชัดคือ บ้าทรัพย์สินเงินทอง บ้าผู้หญิงสวย และบ้าอำนาจ
—–ซีเหมินชิ่งเป็นเจ้าของร้านขายยาซึ่งตั้งอยู่ติดกับที่ว่าการอำเภอ มีพฤติกรรมชอบเที่ยวเตร่และคบเพื่อนไม่ดี จึงพากันสำมะเลเทเมา เพื่อนเหล่านั้นประกอบด้วยทายาทเศรษฐีตกอับชื่อ อิงป๋อเจวี๋ย (應伯爵) เซี่ยซีต้า (謝希大) และเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวคนอื่นรวมนับสิบคน
—–ตัวละครสำคัญอีกกลุ่มหนึ่งคือเหล่าภรรยาของซีเหมินชิ่ง เนื่องด้วยขุนนางหรือผู้มีหน้ามีตาในสมัยก่อนนิยมมีภรรยาหลายคน ซีเหมินชิ่งมีภรรยาคนแรกแซ่เฉิน มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน เมื่อภรรยาคนแรกตายจึงสู่ขอลูกสาวขุนนางท้องถิ่นชื่ออู๋เยว่เหนียง (吳月娘) มาเป็นภรรยาและได้อดีตโสเภณีผู้ร่ำรวยชื่อว่าหลี่เจียวเอ๋อร์ (李嬌兒) เป็นภรรยาคนที่สอง ภรรยาคนที่สามชื่อจั๋วติวเอ๋อร์ (卓丟兒) ร่างกายอ่อนแอขี้โรคและตายตั้งแต่อายุยังน้อย ซีเหมินชิ่งจึงออกเที่ยวเตร่จนได้พบกับเมิ่งอวี้โหลว (孟玉樓) แม่ม่ายรูปโฉมงดงามและร่ำรวย เป็นที่ต้องตาต้องใจของซีเหมินชิ่ง แม่สื่อแนะนำให้เข้าประจบญาติทางฝ่ายสามีเก่าของเมิ่งอวี้โหลว จนสามารถโน้มน้าวใจให้เมิ่งอวี้โหลวยอมแต่งงานพร้อมกับนำทรัพย์สินเข้าบ้าน กลายมาเป็นภรรยาคนที่สามทดแทนจั๋วติวเอ๋อร์
—–ภรรยาคนที่สี่ของซีเหมินชิ่งคือ ซุนเสวี่ยเอ๋อ (孫雪娥) เดิมเป็นหญิงรับใช้ของภรรยาคนแรกที่ตายไป ทั้งนี้คนจีนในสมัยโบราณมักจะรับสาวใช้คนสนิทของภรรยามาเป็นนางบำเรออยู่แล้ว เมื่อภรรยาคนแรกตายซุนเสวี่ยเอ๋อยังมีหน้าที่ดูแลงานครัวในบ้านดังเดิม ซีเหมินชิ่งจึงยกย่องให้ซุนเสวี่ยเอ๋อเป็นภรรยาคนที่สี่
ซีเหมินชิ่งและพันจินเหลียน
—–ตัวเอกอีกคนของเรื่องคือภรรยาคนที่ห้า เมื่อซีเหมินชิ่งไปพบภรรยาแสนสวยของอู่ต้า (武大) นามว่าพันจินเหลียน รู้สึกถูกใจและลอบเป็นชู้กันจนถูกอู่ต้าจับได้ ซีเหมินชิ่งและพันจินเหลียนจึงร่วมมือกันวางยาพิษฆ่าอู่ต้าจนถึงแก่ความตาย แล้วแต่งพันจินเหลียนเข้าบ้านเป็นภรรยาคนที่ห้า พร้อมสินเดิมจากสามีเก่า ฝ่ายวีรบุรุษฆ่าเสืออู่ซง (น้องชายของอู่ต้า) เมื่อทราบถึงสาเหตุการตายของพี่ชายก็ตามมาล้างแค้นซีเหมินชิ่ง แต่ซีเหมินชิ่งใช้อิทธิพลยัดข้อหาให้อู่ซงต้องรับโทษโดนเนรเทศไปชายแดน เมื่อพันจินเหลียนได้เป็นภรรยาของซีเหมินชิ่งแล้ว เธอยังสนับสนุนหญิงรับใช้ของตนชื่อผังชุนเหมย ให้เป็นนางบำเรอของซีเหมินชิ่งด้วย ผังชุนเหมยจึงจงรักภักดีต่อพันจินเหลียนและคอยออกหน้าต่อสู้กับศัตรูของพันจินเหลียนอยู่เสมอ ฝ่ายซีเหมินชิ่งแม้มีภรรยาในบ้านถึง 5 คนแล้ว แต่ก็ยังออกไปเสพสุขนอกบ้าน ทั้งเที่ยวโสเภณี ดื่มสุรา และสังสรรค์กับหมู่มิตรมิได้ขาด
—–จนวันหนึ่ง ซีเหมินชิ่งรู้สึกถูกใจหลี่ผิงเอ๋อร์ ภรรยาของเพื่อนบ้านชื่อ ฮวาจื่อซวี (花子虚) จึงลอบปีนกำแพงบ้านที่ติดกันไปคบชู้กับหลี่ผิงเอ๋อร์ เมื่อฮวาจื่อซวีตาย เขาจึงแต่งหลี่ผิงเอ๋อร์เข้าบ้านเป็นภรรยาคนที่หก เนื่องด้วยหลี่ผิงเอ๋อร์มีทรัพย์สินมาก ทรัพย์สินของเธอจึงช่วยเสริมความร่ำรวยให้ซีเหมินชิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
—–นอกจากนี้ ซีเหมินชิ่งยังลอบเป็นชู้กับภรรยาคนใช้ในบ้าน ภรรยาผู้ดูแลร้าน และเด็กรับใช้หนุ่มในบ้าน ด้วยลุ่มหลงในกามกิเลสอย่างมาก ท้ายที่สุดจึงเสียชีวิตจากการรับประทานยาเสริมกำลังทางเพศมากเกินไปและเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หลังจากนั้น ภรรยาทั้งหมดของซีเหมินชิ่งได้พบกับจุดจบต่างกัน ดังนี้
—–ภรรยาหลวง อู๋เยว่เหนียง คลอดลูกชายคนที่ 2 ของซีเหมินชิ่งชื่อว่าเซี่ยวเกอ (孝哥) ในวันที่ซีเหมินชิ่งตายพอดี แต่เธอก็รับหน้าที่ดูแลบ้านและเลี้ยงลูกด้วยความเข้มแข็ง เมื่อเซี่ยวเกอโตก็ออกบวชเป็นลูกศิษย์ติดตามหลวงจีนผู่จิ้ง (普静) โดยตั้งให้คนสนิทของซีเหมินชิ่งชื่อไต้อัน (玳安) เป็นผู้ทำการค้าแทนต่อไป ไต้อันเองก็ดูแลนางอู๋เยว่เหนียงเป็นอย่างดีจนกระทั่งนางถึงแก่กรรมในวัยชรา
—–ภรรยาคนที่สอง หลี่เจียวเอ๋อร์ หลังซีเหมินชิ่งตายก็ลักของในบ้านไปไว้ที่บ้านโสเภณีตระกูลหลี่ (บ้านเดิมของหลี่เจียวเอ๋อร์) จึงถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลซีเหมิน ต่อมาได้แต่งงานใหม่กับจางกวานเอ๋อร์ (張官兒) พ่อค้าที่พยายามทำตัวเลียนแบบซีเหมินชิ่ง
—–ภรรยาคนที่สาม เมิ่งอวี้โหลว หลังซีเหมินชิ่งตายก็ครองตัวเป็นม่าย จนกระทั่งมีลูกชายขุนนางใหญ่แซ่หลี่มาขอแต่งงานและมีชีวิตรักที่มีความสุข
—–ภรรยาคนที่สี่ ซุนเสวี่ยเอ๋อ หลังซีเหมินชิ่งตายก็ร่วมมือกับหลี่เจียวเอ๋อร์ขับพันจินเหลียนและผังชุนเหมยออกจากบ้าน จากนั้นเธอก็ได้พบคนรักเก่าคือไหลว่างเอ๋อร์ (來旺兒) อดีตเด็กรับใช้ในบ้านที่ถูกขับไล่ออกไปแล้วย้อนกลับมาขโมยทรัพย์สินบ้านซีเหมิน ซุนเสวี่ยเอ๋อและไหลว่างเอ๋อร์ตกลงที่จะหนีตามกัน แต่ซุนเสวี่ยเอ๋อถูกคนในบ้านซีเหมินจับตัวไว้ได้ แล้วนำไปขายเป็นสาวใช้ในบ้านของผังชุนเหมย ซึ่งในขณะนั้นได้แต่งงานใหม่กับขุนนางใหญ่ ซุนเสวี่ยเอ๋อถูกทุบตีจนท้ายที่สุดก็โดนขายเป็นโสเภณีในซ่อง โชคดีที่มีผู้เห็นใจคอยอุปถัมภ์นาง แต่ไม่นานผู้เห็นใจคนนี้ก็ถูกฆ่าตาย ซุนเสวี่ยเอ๋อจึงฆ่าตัวตายตาม
—–ภรรยาคนที่ห้า พันจินเหลียน หลังซีเหมินชิ่งตายก็คบชู้กับลูกเขยจนตั้งท้องและทำแท้ง เมื่อเรื่องคบชู้ถูกเปิดโปงก็โดนนำไปฝากขายไว้กับยายหวังผอแม่สื่อตัวแสบ อู่ซงจึงซื้อนางไปฆ่าเพื่อแก้แค้นให้พี่ชาย
ซีเหมินชิ่งและหลี่ผิงเอ๋อร์
—–ภรรยาคนที่หก หลี่ผิงเอ๋อร์ ที่ทิ้งสามีเก่ามาแต่งงานใหม่กับซีเหมินชิ่งไม่นานก็มีลูกชายคนแรกให้ซีเหมินชิ่ง ชื่อว่า กวานเกอ (官哥) แต่กวานเกอก็ถูกแมวของพันจินเหลียนกัดจนตกใจและตายในที่สุด หลังจากนั้นหลี่ผิงเอ๋อร์ก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่นานก็ตายตามลูกชายไป
—–ส่วนผังชุนเหมย สาวใช้ของพันจินเหลียนที่เป็นนางบำเรอของซีเหมินชิ่ง ภายหลังได้เป็นภรรยาขุนนางใหญ่ แต่ด้วยลุ่มหลงในกามกิเลสจึงหัวใจวายตายขณะเสพสังวาส
—–ในยุคแรก จินผิงเหมยเป็นวรรณคดีที่ต้องคัดลอกส่งต่อกัน ภายหลังจึงมีการตีพิมพ์ โดยฉบับตีพิมพ์จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ฉบับฉือฮว่า (詞話本) ฉบับฉงเจิน (崇禎本) และฉบับจางจู๋พอผิง (張竹坡評本) โดยฉบับฉือฮว่าเป็นฉบับที่ใกล้เคียงกับฉบับคัดลอกมากที่สุด ฉบับฉงเจินคือฉบับที่ตัดโคลงกลอนในฉบับฉือฮว่าออกแล้วปรับปรุงเนื้อหาใหม่ ทั้งสองฉบับเป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์หมิง ส่วนฉบับจางจู๋พอผิงในสมัยราชวงศ์ชิงคือฉบับที่นำฉบับฉงเจินมาเรียบเรียงเนื้อความใหม่ให้เรื่องราวสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น
—–ในสมัยราชวงศ์หมิง จินผิงเหมยได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ในสมัยราชวงศ์ชิง จินผิงเหมยกลับเป็นหนังสือต้องห้ามที่ต้องแอบอ่านอย่างลับๆ เมื่อประเทศจีนเข้าสู่การปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตง (毛澤東) อนุญาตให้ตีพิมพ์จินผิงเหมยอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1957 ซึ่งการตีพิมพ์ครั้งนี้เปรียบเสมือนการปลดสถานะหนังสือต้องห้าม นับแต่นั้นวงวิชาการได้ศึกษาวิจัยวรรณคดีเรื่องนี้อย่างแพร่หลายมากขึ้น จนมีการจัดตั้ง ‘จินผิงเหมยศึกษา’ (金瓶梅學) อันเป็นแขนงวิชาหนึ่งที่ศึกษาวรรณคดีเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ผู้คนในสังคมกลับสนใจบทอัศจรรย์ที่มีอย่างชัดเจนในเนื้อเรื่องมากกว่าคุณค่าที่แท้จริงของวรรณคดี
—–นักวิจารณ์วรรณคดีต่างมีมุมมองหลากหลาย บ้างมองว่าบทอัศจรรย์มากมายในเรื่องสะท้อนชีวิตจริงของมนุษย์บางคนได้อย่างรอบด้าน บ้างมองว่าบทอัศจรรย์เป็นตัวบดบังคุณค่าแท้จริงที่ผู้เขียนต้องการสื่อ นอกจากความงามด้านสุนทรียศาสตร์อันเต็มไปด้วยเสน่ห์แล้ว เรื่องจินผิงเหมยยังสะท้อนสภาพสังคมที่เป็นจริงในสมัยนั้น เช่น เศรษฐกิจ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ทัศนคติ และลงรายละเอียดลึกไปจนถึงอาหาร เครื่องแต่งกาย ยารักษาโรค การละเล่น และพิธีกรรมทางศาสนา เปิดเผยด้านมืดรวมทั้งแก่นแท้ของมนุษย์และสังคม เพื่อแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่าสังคมที่เสื่อมโทรมอีกไม่นานก็ต้องล่มสลาย
—–เมื่อวิเคราะห์จากเนื้อเรื่องย่อที่กล่าวถึงชีวิตและจุดจบของตัวละครหลัก จะพบว่าชีวิตของซีเหมินชิ่งรวมทั้งภรรยาที่ลุ่มหลงในกามกิเลสและก่อกรรมทำชั่วล้วนไม่ได้ตายตามธรรมชาติ เว้นแต่อู๋เยว่เหนียงและเมิ่งอวี้โหลวที่แก่ตายตามอายุขัยเพราะทำดีเป็นส่วนใหญ่ จึงกล่าวได้ว่าวรรณคดีเรื่องนี้มีคติเตือนใจไม่ให้ลุ่มหลงในกิเลสตัณหา เพราะจะนำพาไปสู่หายนะไม่ช้าก็เร็ว และกระตุ้นเตือนให้ตระหนักถึงโครงสร้างสังคมที่อยุติธรรม เสื่อมทรามฟอนเฟะ รอคอยให้เร่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของประชาชาติจีน
[1]สี่สุดยอดวรรณกรรมในสมัยราชวงศ์หมิง (四大奇書) ประกอบด้วย สามก๊ก (三國演義) ไซอิ๋ว (西遊記) ซ้องกั๋ง หรือ 108 ผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซาน (水滸傳) และจินผิงเหมย ภายหลังเมื่อมีการจัดสี่ยอดวรรณกรรมใหม่ในสมัยราชวงศ์ชิง (四大名著) จึงเปลี่ยนเอาเรื่องความฝันในหอแดง (紅樓夢) มาแทนที่เรื่องจินผิงเหมย
เรื่องโดย พิบุณย์ ลิ้มอารีย์สุข
บรรณานุกรม
พัชนี ตั้งยืนยง. (2555). ความรู้ที่ถูกจองจำ : หนังสือต้องห้ามในราชวงศ์ชิง. ใน ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์,
เหตุเกิดในราชวงศ์ชิง, หน้า 133-157. กรุงเทพฯ : ชวนอ่าน.
พิบุณย์ ลิ้มอารีย์สุข. (2558). การศึกษาเปรียบเทียบส่วนเสริมกริยาบอกความเป็นไปได้ในนวนิยายจีน
จินผิงเหมยกับฉบับแปลภาษาไทย ดอกเหมยในแจกันทอง. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,
สาขาวิชาภาษาจีน ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
黄霖.(2008).《金瓶梅演讲录》.桂林:广西师范大学出版社.
杨鸿儒.(2007).《细述金瓶梅》.北京:东方出版社.